หากท่านใดที่ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับสมาร์ทโฟนเป็นประจำคงทราบกันดีว่า เทคโนโลยีของสมาร์ทโฟนในปัจจุบันนั้นก้าวไกล และพัฒนาอย่างก้าวกระโดดภายในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มสมาร์ทโฟนแต่ละระดับก็จะเจาะตลาดผู้ใช้ในกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไป แต่กลุ่มสมาร์ทโฟนที่มีผู้ต้องการใช้งานมากที่สุดมักจะเป็น “สมาร์ทโฟนระดับกลาง” เป็นหลัก เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วผู้ใช้ที่ใช้สมาร์ทโฟนได้คล่องแคล่วในระดับหนึ่งนั้นมักจะมีความรู้สึกว่า ต้องการสมาร์ทโฟนที่มีคุณสมบัติตัวเครื่องครอบคลุมทุกการใช้งาน, ใช้งานได้ไหลลื่นไม่ติดขัด, กล้องถ่ายภาพคมชัด ฯลฯ ซึ่งคุณสมบัติบางอย่างนี้จะไม่มีในกลุ่มสมาร์ทโฟนระดับเริ่มต้น ส่วนสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ก็มีราคาสูง และเกินความต้องการไปมาก ดังนั้นกลุ่มสมาร์ทโฟนระดับกลางจึงเป็นตัวเลือกหลักของผู้ใช้ที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่สักเครื่องหนึ่ง
ดังนั้นทางทีมงาน สาระล้วนๆ จึงทำการรวบรวมสมาร์ทโฟนราคาไม่เกิน 10,000 บาท ที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ณ ชั่วโมงนี้ (อัปเดตข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 19 สิงหาคม 2562) เพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้ที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนประสิทธิภาพดี พร้อมตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครบครัน ในราคาที่จับต้องได้ เพื่อมอบให้เป็นของขวัญแด่คนที่คุณรัก ไม่ว่าจะเป็น คู่รัก, ญาติผู้ใหญ่ หรือเด็กๆ ซึ่งจะมีสมาร์ทโฟนรุ่นเด่นจากแบรนด์ใดบ้าง เชิญติดตามชมไปพร้อมกันได้เลยค่ะ
Samsung Galaxy A50 ราคา 10,490 บาท
Samsung Galaxy A50 มาในดีไซน์จอไร้ขอบโฉมใหม่ของ Samsung แบบ Infinity-U กับรอยบากทรงหยดน้ำ ที่มีการติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ฝังไว้ใต้หน้าจอ (On-Screen Fingerprint) บนตัวเครื่องเงางามแบบ 3D Glasstic พร้อมพกพาแบตเตอรี่มาเท่ากันที่ 4000 mAh ที่รองรับระบบชาร์จเร็ว และระบบกล้องหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ซึ่งรันด้วยชิปเซ็ตรุ่นใหม่อย่าง Exynos 9610 จับคู่กับ RAM ขนาด 6GB สำหรับคุณสมบัติตัวเครื่องในเบื้องต้นมีดังนี้
– ตัวเครื่องมีขนาด 158.5×74.7×7.7 มิลลิเมตร
– หน้าจอแสดงผล Super AMOLED Infinity-U ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080×2340 พิกเซล)
– ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Exynos 9610
– หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G72 MP3
– หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB
– หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128GB พร้อมรองรับการ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD สูงสุดที่ 512GB
– กล้องดิจิทัลด้านหลัง 3 ตัว (Triple Camera) โดยกล้องตัวหลักความละเอียด 25 ล้านพิกเซล เน้นถ่ายภาพกลางคืน ส่วนกล้องตัวที่สองความละเอียด 8 ล้านพิกเซล เลนส์กว้างพิเศษ Ultra-Wide Angle และกล้องตัวที่สามความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์ Depth สำหรับทำภาพหน้าชัดหลังเบลอ โดยมี F/1.7 + F/2.2 + F/2.2 รองรับเทคโนโลยี AI Camera, ฟังก์ชัน Live Focus และ Scene Optimizer ในการตรวจจับซีนต่างๆ จาก 20 หมวดหมู่
– กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 25 ล้านพิกเซล โดยมี F/2.0 และรองรับฟังก์ชัน Selfie Focus
– แบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 15W Fast Charging
– ระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ครอบทับด้วย One UI
– เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ (On-Screen Fingerprint)
– ระบบสแกนใบหน้า (Face Unlock)
– รองรับระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ Bixby
– รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
– มีตัวเลือก 3 สี ได้แก่ สีดำ (Black), สีน้ำเงิน (Blue) และสีขาว (White)
Huawei Y9 Prime 2019 ราคา 7,990 บาท
Huawei Y9 Prime 2019 มาพร้อมจอไร้ขอบ ไร้รอยบากแบบ Huawei Ultra FullView Display ขนาด 6.59 นิ้ว โดยมีกล้องหน้าแบบ Pop-Up ที่ผ่านการทดสอบกว่า 1 แสนครั้ง และกล้องหลัง 3 ตัว (Triple Camera) พร้อมเลนส์มุมกว้าง Ultra-Wide รวมถึงมีแบตเตอรี่มากถึง 4000 mAh อีกด้วย ซึ่งมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจดังนี้
– ตัวเครื่องมีขนาด 163.5×77.3×8.8 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 196.8 กรัม
– หน้าจอแสดงผล TFT LCD (LTPS) Huawei Ultra FullView Display ขนาด 6.59 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080×2340 พิกเซล : 391 ppi)
– ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Kirin 710F
– หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 4GB
– หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128GB พร้อมรองรับหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD สูงสุดที่ขนาด 512GB
– กล้องดิจิทัลด้านหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ความละเอียด 16 + 8 + 2 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช LED, เลนส์มุมกว้าง Ultra Wide Angle พร้อมรองรับฟังก์ชัน AI Scene Recognition ในการตรวจจับซีนได้จากทั้งหมด 22 หมวดหมู่ 500 ซีน และการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอแบบ 3D Portrait
– กล้องดิจิทัลด้านหน้าแบบ Pop-Up ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมเทคโนโลยี AI โดยมี F/2.0 รองรับฟังก์ชัน AI Scene Recognitionในการตรวจจับซีนได้จากทั้งหมด 8 หมวดหมู่ และการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอแบบ 3D Portrait
– แบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh
– ระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ครอบทับด้วย EMUI 9.0
– เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังตัวเครื่อง (Fingerprint Scanner)
– รองรับการใช้งานบนเครือข่าย 4G LTE
– รองรับการใช้งานพร้อมกัน 2 ซิมการ์ด (Dual SIM)
– รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
Huawei P30 Lite ราคา 9,990 บาท
Huawei P30 Lite ถอดการดีไซน์ตัวเครื่องมาจาก P30 รุ่นมาตรฐานในทุกประการ ทั้งหน้าจอไร้ขอบที่มีรอยบากทรงหยดน้ำแบบ Dewdrop Display บนตัวเครื่องกระจกเงางามขอบโค้งแบบ Curved 3D Glass และการติดตั้งกล้องหลังถึง 3 ตัว (Triple Camera) โดยมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจดังนี้
– ตัวเครื่องมีขนาด 152.9×72.7×7.4 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 159 กรัม
– หน้าจอแสดงผลแบบ IPS LCD Dewdrop Display ขนาด 6.15 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080×2312 พิกเซล : 415 ppi)
– ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Kirin 710
– เทคโนโลยี GPU Turbo 2.0
– หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G51
– หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB
– หน่วยความจำภายใน (ROM) ความจุ 128GB พร้อมรองรับหน่วยความจภายนอกแบบ microSD สูงสุดที่ 256GB
– กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซล พร้อมเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
– กล้องดิจิทัลด้านหลังจำนวน 3 ตัว (Triple Camera) โดยแบ่งออกเป็น กล้องตัวหลักความละเอียด 24 ล้านพิกเซล, กล้องเลนส์มุมกว้าง 120 องศา แบบ Ultra Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และกล้อง Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล สำหรับช่วยถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ พร้อมเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
– แบตเตอรี่ความจุ 3340 mAh พร้อมรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 18W Fast Charge
– ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ครอบทับด้วย EMUI 9.0.1
– เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังของตัวเครื่อง
– ระบบปลดล็อกด้วยใบหน้าแบบ AI Face Unlock
– ช่องเสียบหูฟังมาตรฐานขนาด 3.5 มม.
– รองรับการเชื่อมต่อบนเครือข่าย 4G LTE
– รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 b/g/n/ac และ Bluetooth 4.2
– พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
Vivo S1 ราคา 8,999 บาท
Vivo S1 มาพร้อมกับความโดดเด่นด้วยหน้าจอแสดงผลแบบ Super AMOLED บนดีไซน์จอขอบบางเฉียบแบบ Halo FullView Display ส่วนงานออกแบบที่ด้านหลังของตัวเครื่องมาพร้อมกับบอดี้กระจกเงา เคลือบสีไล่เฉดแบบทูโทน พร้อมลายคลื่นที่จะสะท้อนให้เห็นเมื่อโดนแสง และมีกล้อง 3 ตัว (Triple Camera) ที่ด้านหลัง รวมถึงแบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว โดยมีฟีเจอร์ในเบื้องต้นดังนี้
– ตัวเครื่องขนาด 159.53×75.23×8.13 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 179 กรัม
– หน้าจอแสดงผล Super AMOLED Halo Fullvie Display ขนาด 6.38 นิ้ว ในอัตราส่วน 19.5:9 ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080×2340 พิกเซล) คิดเป็นสัดส่วนพื้นที่ทั้งหมด 90% และรองรับฟังก์ชัน Always On Display
– ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core MediaTek (MT6768) Helio P65
– หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G52 2EEMC2
– หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB
– หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128GB พร้อมรองรับการ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD สูงสุดที่ขนาด 256GB
– กล้องดิจิทัลด้านหลัง 3 ตัว (AI Triple Camera) แบ่งออกเป็นกล้องตัวหลักความละเอียด 16 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์ Sony IMX499 มีขนาดรูรับแสงที่ F/1.78, กล้องตัวที่สองเลนส์มุมกว้าง AI Super Wide-Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล เก็บภาพมุมกว้าง 120 องศา มีขนาดรูรับแสงที่ F/2.2 และกล้องตัวที่สามเลนส์ Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล มีขนาดรูรับแสงที่ F/2.4 โดยรองรับระบบการโฟกัสภาพแบบ PDAF, ฟังก์ชัน Live Photos, Portrait พร้อม AI Portrait Framing และ AI Face Beauty
– กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซล มีขนาดรูรับแสงที่ F/2.0 รองรับฟังก์ชัน AI Face Beauty, Bokeh และ Super Wide-Angle Camera
– แบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh
– ระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ครอบทับด้วย Funtouch OS 9
– เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ (Screen Touch ID)
– ระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ Jovi AI Assistant
– รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB 2.0
Vivo V15 ราคา 9,999 บาท
Vivo V15 มาในดีไซน์จอไร้ขอบ ไร้รอยบากโฉมใหม่แบบ Ultra FullView Display พร้อมติดตั้งกล้องหลังถึง 3 ตัว (AI Triple Camera) และกล้องหน้าแบบ Pop-Up ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล ซึ่งมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจดังนี้
– ตัวเครื่องมีขนาด 161.97 x 75.93 x 8.54 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 189.5 กรัม
– หน้าจอแสดงผล Ultra FullView Display ขนาด 6.53 นิ้ว ในอัตราส่วน 19.5:9 ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080×2340 พิกเซล) ครอบทับด้วยกระจกขอบนูนแบบ 2.5D
– ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core MediaTek Helio P70 ความเร็ว 2.1 GHz
– หน่วยความจำ RAM 6GB
– ความจุภายใน 128GB รองรับหน่วยความจำเสริมภายนอกผ่านการ์ด microSD สูงสุด 256GB
– กล้องดิจิทัลด้านหน้าแบบ Pop-Up ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.0 รองรับฟีเจอร์ AI Face Shaping, AI Portrait Lighting และ AR Sticker
– กล้องดิจิทัลด้านหลัง 3 ตัว (AI Triple Camera) กล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.78, กล้องตัวที่สองความละเอียด 8 ล้านพิกเซล เลนส์ Super Wide-Angle 120° รูรับแสง f/2.2 และกล้องตัวที่สามความละเอียด 5 ล้านพิกเซล เลนส์ Telephoto รูรับแสง f/2.4 รองรับฟีเจอร์ Live Photos, Bokeh, AI Portrait Lighting, AI Face Beauty, AI Body Shaping และ AI Scene Recognition รวมถึง Super Night Mode สำหรับถ่ายภาพเวลากลางคืน
– แบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว Dual-Engine Fast Charging
– ระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ครอบทับด้วย Funtouch OS 9
– เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือด้านหลังตัวเครื่อง
– ระบบสแกนใบหน้า (Face Access) จดจำจุดบนใบหน้ากว่า 1,024 จุด
– ฟังก์ชัน Ultra-Smooth Gaming
– ผู้ช่วยอัจฉริยะ Jovi Smarter AI
– รองรับการใช้งานพร้อมกัน 2 ซิมการ์ด (Dual SIM) พร้อมถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Triple Slot
– รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi แบบ Dual Band และ Bluetooth 5.0
– รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB 2.0
– ระบบปฏิบัติการ Android 9 Pie ครอบทับด้วย Funtouch OS 9
– มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ Topaz Blue (น้ําเงิน-ฟ้า), Coral Red (แดง)
OPPO K3 ราคา 9,990 บาท
OPPO K3 มาในดีไซน์จอไร้ขอบ ไร้รอยบากแบบ Panoramic Screen ขนาด 6.5 นิ้ว พร้อมติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint) และมีกล้องหน้าเลื่อนได้เองอัตโนมัติแบบ Rising Camera กับความคมชัด 16 ล้านพิกเซล ที่ใช้เวลาในการเรียกใช้งาน 0.74 วินาที พร้อมผ่านการทดสอบกว่า 2 แสนครั้ง สำหรับตัวเครื่องมีความเงางามแบบกระจก และโค้งรับกับฝ่ามือ ที่มีการไล่เฉดสีแบบ 3D Gradient รวมถึงกล้องหลังแบบคู่ AI Dual Camera ซึ่งมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจดังนี้
– ตัวเครื่องมีขนาด 161.2×76.0x9.4 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 191 กรัม
– หน้าจอแสดงผล AMOLED Full Screen Display ขนาด 6.5 นิ้ว อัตราส่วน 19.5:9 ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080×2340 พิกเซล) คิดเป็นสัดส่วนการแสดงผลที่ 91.1% ครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 5
– ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Qualcomm Snapdragon 710
– หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 616
– หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 8GB
– หน่วยความจำภายใน (ROM) มาตรฐาน UFS 2.1 ขนาด 128GB
– กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (AI Dual Camera) ความละเอียด 16 + 2 ล้านพิกเซล พร้อมรองรับฟีเจอร์ AI Portrait, AI Scene Recognition และ Ultra Night Mode 2.0
– กล้องดิจิทัลด้านหน้าแบบ Pop-Up ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อม AI Beauty
– แบตเตอรี่ความจุ 3765 mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบ VOOC Flash Charge 3.0 (5V/4A)
– ระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ครอบทับด้วย ColorOS 6.0
– เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint)
– ระบบสแกนใบหน้า (Face Recognition)
– ระบบเสียง Dolby Atmos
– รองรับการเชื่อมต่อเครือข่าย 4G LTE พร้อมกันสองซิมการ์ดแบบ Dual 4G
– รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac และ Bluetooth 5.0
– รองรับการเชื่อมต่อ USB Type-C
OPPO F11 Pro ราคา 9,990 บาท
OPPO F11 Pro มาพร้อมการยกเครื่องดีไซน์ใหม่หมดจด ด้วยจอไร้ขอบ ไร้รอยบากแบบ Panoramic Screen พร้อมตัวเครื่องกระจกไล่เฉดแบบ Triple Gradient Color และติดตั้งกล้องคู่ (Dual Camera) ที่ด้านหลัง ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล ชูโรงด้านการถ่ายภาพ Portrait ในที่แสงน้อย หรือเวลากลางคืน พร้อมฟีเจอร์ Ultra Night Mode ซึ่งมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจดังนี้
– ตัวเครื่องมีขนาด 161.3×76.1×8.8 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 190 กรัม
– หน้าจอแสดงผล LTPS IPS LCD Panoramic Screen ขนาด 6.5 นิ้ว ในอัตราส่วน 19.5:9 ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080×2340 พิกเซล : 397 ppi)
– ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core MediaTek Helio P70 ที่มีความเร็ว 2.1 GHz
– หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G72 MP3
– หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB
– หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 64GB พร้อมรองรับการ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD สูงสุดที่ขนาด 256GB
– กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (Dual Camera) ความละเอียด 48 + 5 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช LED โดยมีโครงสร้าง 6 ชิ้นเลนส์ มีเซ็นเซอร์ขนาด 1/2.25 นิ้ว ขนาดรูรับแสงกว้างสุดที่ F/1.79 + F/2.4 รองรับโหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait), ฟีเจอร์ Ultra Night Mode และ AI Scene Recognition ทั้งหมด 23 หมวดหมู่
– กล้องดิจิทัลด้านหน้า Rising Camera แบบ Pop-Up ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล โดยมีขนาดรูรับแสงกว้างสุดที่ F/2.0 พร้อมเทคโนโลยี AI Beauty
– แบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว VOOC Flash Charge 3.0
– ระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ครอบทับด้วย Color OS 6.0
– เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังตัวเครื่อง (Fingerprint Scanner)
– ระบบสแกนใบหน้า (AI Face Unlock)
– รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB 2.0
realme 3 Pro (6GB+128GB) ราคา 8,999 บาท
realme 3 Pro มาพร้อมการดีไซน์จอไร้ขอบแบบ Dewdrop Display บนตัวเครื่องเงางาม ไล่เฉดสีแบบ 3D Gradient Unibody พร้อมการแกะสลักในระดับไมครอน พร้อมติดตั้งกล้องหลังแบบคู่ (Dual Camera)และมีแบตเตอรี่ความจุ 4045 mAh ที่รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบ VOOC Flash Charge 3.0 (5V/4A) สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0 – 100% ได้ในเวลา 80 นาที ซึ่งมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจดังนี้
– ตัวเครื่องมีขนาด 156.8×74.2×8.3 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 172 กรัม
– หน้าจอแสดงผล Dewdrop Display ขนาด 6.3 นิ้ว ในอัตราส่วน 19.5:9 ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080×2340 พิกเซล : สัดส่วนการแสดงผลของหน้าจออยู่ที่ 90.80%) พร้อมครอบทับด้วยกระจกขอบนูนแบบ 2.5D Corning Gorilla Glass 5
– ชิปเซ็ตประมวล Octa-Core Qualcomm Snapdragon 710 AIE ที่มีความเร็ว 2.2 GHz
– เทคโนโลยี Hyper Boost 2.0 ที่ช่วยเร่งประสิทธิภาพของการทำงานโดยรวม ทั้งในส่วนของแอปพลิเคชัน, ระบบ และเกม ให้ดีขึ้น
– หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 616
– หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB
– หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128GB พร้อมรองรับหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD สูงสุดที่ขนาด 256GB
– กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (Dual Camera) ความละเอียด 16 + 5 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช LED โดยมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.7 รองรับเทคโนโลยี Dual Pixel Fast Focus, โหมด Portrait ถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ, ฟีเจอร์ Nightscape สำหรับถ่ายภาพในที่แสงน้อย/เวลากลางคืนโดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง, ฟีเจอร์ ChromaBoost, โหมดถ่ายภาพ Ultra HD ความละเอียดสูง 64 ล้านพิกเซล และฟังก์ชัน AI Scene Recognition
– กล้องดิจิทัลด้านหน้า AI ความละเอียด 25 ล้านพิกเซล พร้อมเทคโนโลยี 4-in-1 Pixel โดยมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.0 รองรับเทคโนโลยี AI Beautification
– แบตเตอรี่ความจุ 4045 mAh พร้อมเทคโนโลยี VOOC Flash Charge 3.0
– ระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ซึ่งถูกครอบทับด้วย ColorOS 6.0
– เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
– ระบบสแกนใบหน้า (AI Face Unlock)
– รองรับการใช้งานพร้อมกัน 2 ซิมการ์ด (Dual SIM)
– รองรับถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Triple-Slot
– รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n /ac (Dual-Band) และ Bluetooth 5.0
– รองรับการเชื่อมต่อแบบ microUSB
– รุ่น 4GB+64GB ราคา 6,999 บาท
– รุ่น 6GB+128GB ราคา 8,999 บาท
Motorola One Vision ราคา 9,990 บาท
Motorola One Vision สมาร์ทโฟนรุ่นต่อยอดที่มาในดีไซน์ใหม่หมดจอด้วยจอไร้ขอบ เจาะรูกล้องหน้าแบบ CinemaVision Ultra-Wide Display ในอัตราส่วน 21:9 พร้อมระบบกล้องคู่ (Dual Camera) ที่ด้านหลัง บนดีไซน์ตัวเครื่องเงามงามด้วยกระจกขอบโค้งแบบ 3D Gorilla Glass ที่รองรับคุณสมบัติปองกันน้ำกระเซ็น และอยู่ในโครงการ Android One โดยมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
– ตัวเครื่องมีขนาด 160.1×71.2×8.7 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 180 กรัม
– หน้าจอแสดงผล LTPS IPS CinemaVision Ultra-Wide Display ขนาด 6.3 นิ้ว ในอัตราส่วน 21:9 ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080×2520 พิกเซล)
– ชิปเซ็ตประมวล Octa-Core Exynos 9609 ที่มีความเร็ว 2.2 GHz
– หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali G72 MP3
– หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 4GB
– หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128GB พร้อมรองรับหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD สูงสุดที่ขนาด 256GB
– กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (Dual Camera) ความละเอียด 48 + 5 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช LED โดยมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.7 รองรับเทคโนโลยี Quad Pixel ขนาด 1.6 ไมครอน, ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS, โหมดถ่ายภาพ Portrait ถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ และ Night Vision สำหรับถ่ายภาพในที่แสงน้อย/เวลากลางคืน
– กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 25 ล้านพิกเซล พร้อมเทคโนโลยี Quad Pixel มีขนาดพิกเซล 1.8 ไมครอน โดยมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.0
– แบตเตอรี่ความจุ 3500 mAh พร้อมเทคโนโลยี 15W TurboPower
– ระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie (Android One)
– เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
– ระบบสแกนใบหน้า (AI Face Unlock)
คุณสมบัติป้องกันน้ำกระเซ็น ด้วยเทคโนโลยีการเคลือบผิวแบบ p2i water-repellent coating
– รองรับการใช้งานพร้อมกัน 2 ซิมการ์ด (Dual SIM)
– รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n /ac (Dual-Band), Bluetooth 5.0 และ NFC
– รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
Honor 20 Lite ราคา 7,990 บาท
Honor 20 Lite สมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นเล็กกับดีไซน์จอไร้ขอบทรงหยดน้ำแบบ Dewdrop Display บนตัวเครื่องครอบทับด้วยกระจกขอบโค้ง 3D Glass ที่มีการไล่เฉดสี และติดตั้งกล้องหลังทั้งหมด 3 ตัว (AI Triple Camera) รวมถึงรองรับเทคโนโลยี GPU Turbo 2.0 สำหรับเกมเมอร์ตัวจริง ซึ่งมีคุณสมบัติตัวเครื่องในเบื้องต้นดังนี้
– ตัวเครื่องมีขนาด 154.8×73.64×7.95 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 164 กรัม
– หน้าจอแสดงผล LTPS LCD Dewdrop Display ขนาด 6.21 นิ้ว ในอัตราส่วน 19.5:9 ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080×2340 พิกเซล : 415 ppi) โดยมีสัดส่วนพื้นที่การแสดงผลอยู่ที่ 90%+
– ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core HiSilicon Kirin 710
– หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Mali-G51 MP4
– เทคโนโลยี GPU Turbo 2.0
– หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 4GB
– หน่วยความจำภายใน (ROM) ความจุ 128GB พร้อมรองรับการ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD สูงสุดที่ขนาด 512GB
– กล้องดิจิทัลด้านหลัง 3 ตัว (AI Triple Camera) ความละเอียด 24 + 8 + 2 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ LED โดยมีเลนส์มุมกว้างพิเศษ Ultra-Wide Angle สำหรับเก็บภาพในมุมกว้างถึง 120 องศา มีรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.8 + F/2.4 + F/2.4 เทคโนโลยี Quad Bayer ในการรวมเม็ดพิกเซลที่อยู่ข้างเคียงเพื่อช่วยเก็บแสงให้มากขึ้น, ฟังก์ชัน Scene Recognition ในการตรวจจับซีนทั้งหมดกว่า 500 ซีน จาก 22 หมวดหมู่ และ Super Night Shoot สำหรับถ่ายภาพในเวลากลางคืน
– กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซล พร้อมฟีเจอร์ถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอแบบ AI Portrait และ AI Beautification ในการปรับโครงสร้างใบหน้า และค่าผิวเนียนได้อย่างอิสระ
– แบตเตอรี่ความจุ 3400 mAh
– ระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ครอบทับด้วย EMUI 9.0.1
– เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังตัวเครื่อง (Fingerprint Scanner)
– ระบบการปลดล็อกด้วยใบหน้า (Face Unlock)
– รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM)
– รองรับการใช้งานบนเครือข่าย 4G LTE แบบ Dual 4G
– รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 b/g/n, Bluetooth 4.2 และ NFC
– พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB 2.0
Asus ZenFone Max Pro (M2) (6GB+64GB) ราคา 8,990 บาท
Asus ZenFone Max Pro (M2) มาพร้อมกับการดีไซน์ใหม่หมดจดทั้งหน้าจอไร้ขอบที่มีรอยบาดขนาดเล็กกว่ารุ่น Max (M2) และตัวเครื่องเงางาม โดยครอบทับฝาหลังด้วยกระจกแบบ 3D Curved Glossy พร้อมกับลวดลายคล้ายคลื่น ที่สะท้อนเล่นกับแสงตามมุมที่ตกกระทบได้ รวมถึงพกพาแบตเตอรี่มาถึง 5000 mAh ซึ่งมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจดังนี้
– ตัวเครื่องมีขนาด 157.9×75.5×8.5 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 170 กรัม
– หน้าจอแสดงผล IPS LCD ขนาด 6.3 นิ้ว ในอัตราส่วน 19:9 ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080×2280 พิกเซล)
– ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Qualcomm Snapdragon 660 AIE
– หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 512
– หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 4GB
– หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 64GB พร้อมรองรับหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD สูงสุดที่ขนาด 2TB
– กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (Dual Camera) ความละเอียด 12 + 5 ล้านพิกเซล พร้อมเซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX486 ไฟแฟลช LED และรองรับฟังก์ชัน AI Scene Detection
– กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช LED Softlight
– แบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh
– ระบบปฏิบัติการ Android 8.1 Oreo
– เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
– รองรับการใช้งานพร้อมกัน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM)
– รองรับถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Triple-Slot
– รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 b/g/n, Bluetooth 5.0 และ NFC
– รองรับการเชื่อมต่อแบบ microUSB
– รุ่น 4GB+64GB ราคา 6,990 บาท
– รุ่น 6GB+64GB ราคา 8,990 บาท
สรุปคุณสมบัติโดยละเอียดของ Asus ZenFone Max Pro (M2) 6GB+64GB
รีวิว (Review) Asus ZenFone Max Pro (M2)
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับสมาร์ทโฟนราคาไม่เกิน 10,000 บาท ที่ทางทีมงานได้รวบรวมมาให้ได้ชมกัน จะเห็นได้ว่าสมาร์ทโฟนทุกรุ่นข้างต้นล้วนเป็นรุ่นไฮไลท์ใหม่ล่าสุดของแต่ละแบรนด์ ซึ่งมีความโดดเด่น หรือจุดขายที่แตกต่างกันออกไป และมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้แบบครอบคลุมในทุกระดับ และประเด็นสำคัญคือมีราคาไม่สูงจนเกินไปนัก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้ใช้เองด้วยว่ามีความชื่นชอบสมาร์ทโฟนรุ่นใดมากที่สุด ทั้งด้านการดีไซน์ว่าสวยถูกใจขนาดไหน และฟีเจอร์ด้านในสามารถพร้อมตอบโจทย์การใช้งานของตนเองได้ครบถ้วนหรือไม่ ซึ่งทางทีมงาน สาระล้วนๆ ขอแนะนำว่าให้ทุกท่านไปทดลองใช้งานในเบื้องต้นกันก่อนตามร้านค้าตัวแทนจำหน่าย หรือศูนย์บริการใกล้บ้านท่าน เพื่อสำรวจว่าสมาร์ทโฟนรุ่นนั้นๆ ถูกใจท่านหรือไม่ สวัสดีค่ะ
ข้อมูลจาก thaimobilecenter