สมาร์ทโฟน

สเปค Samsung Galaxy F23 5G แบตอึด กล้องหลัง 50MP ราคาเริ่มต้น 6,900 บาท

Samsung เปิดตัวมือถือซีรีส์ F รุ่นใหม่ล่าสุด Galaxy F23 5G ภาคต่อจาก Galaxy F22 ที่เปิดตัวไปเมื่อช่วงกลางปี 2021 โดยคราวนี้แน่นอนว่าได้รับการอัปเกรดสเปคต่าง ๆ ให้ดีขึ้นกว่าเดิมไม่ว่าจะเป็นชิป กล้องหลัง แถมยังรองรับการใช้งาน 5G อีกด้วย โดยเปิดราคาในประเทศอินเดียเริ่มต้นที่ 15,999 รูปี หรือราว ๆ 6,900 บาทเท่านั้นเอง

Galaxy F23 5G คราวนี้มีรูปร่างหน้าตาที่เปลี่ยนไปจากรุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัดเลย ทั้งตัวเครื่องด้านหลังที่คราวนี้เป็นพื้นผิวเรียบ ๆ แล้ว ส่วนโมดูลกล้องก็เปลี่ยนมาเป็นแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีกล้อง 3 ตัว เรียงลงมาเป็นแนวตั้ง

ด้านหน้ายังคงใช้ดีไซน์ Notch หยดน้ำเหมือนเดิม (แต่ดูเล็กลง) ส่วนขนาดของจออยู่ที่ 6.6 นิ้ว ความละเอียด FHD+ รีเฟรชเรทสูงขึ้นจาก 90Hz เป็น 120Hz ลื่นไหลสบายตาขึ้น แต่แลกกับการเปลี่ยนมาใช้พาเนล LCD แทน และยังทนทานรอยขีดข่วนด้วย Gorilla Glass 5

สเปคเครื่องเรียกว่าใช้งานในปัจจุบันได้สบายด้วยชิป Snapdragon 750G, RAM LPDDR4x ให้เลือก 2 ขนาด คือ 4GB และ 6GB, ความจุในตัว 128GB รองรับ microSD Card พร้อมแบตเตอรี่ขนาด 5000 mAh ซึ่งมีขนาดเล็กลงกว่าของรุ่นที่แล้ว แต่ได้อัปเกรดระบบชาร์จไวขึ้นมาเป็น 25W

กล้องหลังมีทั้งหมด 3 ตัว ประกอบด้วยกล้องหลักความละเอียด 50MP + กล้อง Ultrawide ความละเอียด 8MP + กล้อง Macro ความละเอียด 2MP และกล้องหน้าความละเอียด 8MP

สเปค GALAXY F23 5G
  • หน้าจอ LCD ขนาด 6.6 นิ้ว ความละเอียด FHD+ รีเฟรชเรท 120Hz
  • CPU : Snapdragon 750G
  • GPU : Adreno 619
  • RAM : 4GB / 6GB รองรับฟีเจอร์ RAM Plus
  • ความจุ : 128GB รองรับ microSD card
  • กล้องหลัง 3 ตัว
    – กล้องหลักความละเอียด 50MP
    – กล้อง Ultrawide ความละเอียด 8MP
    – กล้อง Macro ความละเอียด 2MP
  • กล้องหน้า : 8MP
  • การเชื่อมต่อ : 5G, WiFi 802.11.b/g/n/ac (2.4GHz + 5GHz), BT 5.0
  • สแกนนิ้วมือด้านข้าง
  • มีรูหูฟัง 3.5 มม.
  • แบตเตอรี่ : 5000 mAh รองรับชาร์จไว 25W
  • ระบบ Android 12 ครอบด้วย One UI 4.1
  • ขนาด / น้ำหนัก : 165.5 x 77.7 x 8.4 มม. / 198 กรัม

Galaxy F23 5G จะเริ่มวางจำหน่ายในประเทศอินเดียตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคมเป็นต้นไป โดยรุ่น 4GB มีราคาอยู่ที่ 15,999 รูปี หรือราว ๆ 6,900 บาท และรุ่น 6GB ราคาอยู่ที่ 18,499 รูปี หรือประมาณ 8,000 บาท ครับ

 

ที่มา-droidsans

เจาะฟีเจอร์ EMUI 10 ประสบการณ์ UX ครั้งใหม่ในสมาร์ทโฟน Huawei เพื่อยกระดับส่วนติดต่อผู้ใช้ขึ้นไปอีกขั้น

ไฮไลท์ของงาน Huawei Developer Conference 2019 ครั้งนี้ นอกจากจะมีการเผยโฉมระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุดอย่าง HarmonyOS (HongmengOS) แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือการออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ หรือ UX (User Experience) กับการออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้ หรือ UI (User Interface) (UX กับ UI เป็นคนละสิ่งกัน แต่ก็มักจะอยู่คู่กันเสมอ) ที่ใช้งานบนสมาร์ทโฟนของ Huawei เองอย่าง EMUI (Emotion UI) ที่ล่าสุดก็เดินทางมาจนถึงเวอร์ชันที่ 10 แล้ว หรือที่เปิดตัวมาในชื่อว่า EMUI 10 นั่นเอง ซึ่งหากนับกันตั้งแต่เวอร์ชันแรก EMUI นั้นก็อยู่คู่กับผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน Huawei มาแล้วร่วม 7 ปี เรียกว่าเป็นการปรับแต่งหน้าตาของระบบปฏิบัติการ Android เดิมๆ ให้สวยงาม และเป็นมิตรกับผู้ใช้งานมากขึ้น โดย Huawei เชื่อเสมอว่า หากมีการปรับแต่งอยู่บนพื้นฐานความต้องการของผู้ใช้งาน ก็จะสามารถช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ในการใช้งานสมาร์ทโฟนที่ดีกว่า จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ Huawei พยายามพัฒนา EMUI ให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา
ซึ่ง EMUI เวอร์ชันก่อนหน้านี้ต่างก็มาพร้อมจุดขายของตนเอง เริ่มตั้งแต่ EMUI 5.0 ที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์ “Born Fast Stay Fast”EMUI 8.0 ที่มาพร้อมกับระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) กับฟีเจอร์ GPU TurboEMUI 9.0 ที่มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ “Enable a Quality Lift” กับการปรับปรุงฟีเจอร์ที่เกี่ยวกับระบบ AI ให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้มากขึ้น และสุดท้ายสำหรับ EMUI 9.1 ก็ถูกปรับแต่งอีกครั้งเกี่ยวกับการทำงานร่วมกันของเทคโนโลยีใหม่ๆ ไปจนถึงการปรับปรุงฟังก์ชันพื้นฐานให้ดีขึ้น เช่นธีม และไอคอนต่างๆ นั้นถูกอัปเดตใหม่เพื่อให้เข้ากับรูปแบบของการใช้งาน AI ในระดับสูง รวมถึงระบบไฟล์แบบใหม่ที่เรียกว่า EROFS (Extendable Read-Only File System) กับฟีเจอร์ GPU Turbo 3.0 ที่ประสิทธิภาพดีขึ้น และรองรับเกมมากขึ้น เพื่อมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม ทั้งรูปลักษณ์ กับการใช้งาน
และล่าสุดกับ EMUI 10 นั้นมาพร้อมกับ 4 ไฮไลท์สำคัญคือ New UX Design, Seamless AI Life, Faster and Smoother Operations และ Win-Win Ecosystem โดยพัฒนาอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 10 Q ที่กำลังจะมาในช่วงเดือนกันยายน 2019 เช่นกัน และเลือกใช้ Ark Compiler เพื่อการทำงานที่ลื่นไหล อีกทั้งนักออกแบบยังพัฒนา UX ของ EMUI 10 นี้ให้สวยงาม และสอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์มากขึ้นด้วย
โดยทาง Huawei กล่าวว่า EMUI 10 จะเป็นส่วนประสานผู้ใช้แบบ Distributed OS จึงช่วยให้นักพัฒนาสามารถจำลองรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกันได้ และจำลองการทำงานต่อเนื่องระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ได้ เสมือนว่านักพัฒนามี Virtual Machine ที่มีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ยังไม่จำเป็นต้องกังวลถึงข้อแตกต่างของฮาร์ดแวร์ เพราะนักพัฒนาสามารถพัฒนาแอปพลิเคชันเพียงครั้งเดียวแต่รองรับการทำงานร่วมกับทุกอุปกรณ์นอกจากนี้ระบบ Deterministic Latency Engine ยังช่วยลดปัญหาระบบค้างจากการจัดสรรทรัพยากรอย่างไม่เหมาะสมในทุกระดับของซอฟต์แวร์ได้ ช่วยให้ EMUI 10 มีความเสถียรตลอดเวลา
นอกจากนี้สมาร์ทโฟนที่ติดตั้ง EMUI 10 ก็จะมีประสิทธิภาพของการใช้งานแอปพลิเคชันที่ดีขึ้น 60%, ใช้งานได้ลื่นไหลไม่หน่วงยาวนานกว่า 18 เดือน, ระบบไฟล์ EROFS ที่อ่านข้อมูลได้เร็วขึ้น 20%, GPU Turbo ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น 60%, เทคโนโลยี Turbo Link ที่เร็วกว่าการใช้เครือข่าย 4G LTE แต่เพียงอย่างเดียว 70% และอีกหลายๆ สิ่ง ซึ่งก็นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่งาน HDC.2019 ครั้งนี้ทีมงาน thaimobilecenter ของเราได้ร่วมทดลองใช้งานสมาร์ทโฟนที่ติดตั้ง EMUI 10 รุ่นทดสอบ ในระยะเวลาๆ สั้นแล้วด้วยเช่นกัน
      ข้อมูลจาก www.thaimobilecenter.com

MSI เปิดตัวโน้ตบุ๊คเกมมิ่งซีรีส์ใหม่ Delta 15 ปี 2021 สเปค AMD ล้วนแรงระดับท็อป !

🏮 MSI เปิดตัวโน้ตบุ๊คเกมมิ่งซีรีส์ใหม่ Delta 15 ปี 2021 สเปค AMD ล้วนแรงระดับท็อป !

หลังจากที่หลายแบรนด์เปิดตัวโน้ตบุ๊ค AMD Advantage Edition รุ่นท็อปๆ กันไปหลายรุ่น คราวนี้มาถึงฝังแบรนด์ MSI กันบ้างที่คราวนี้เปิดตัวซีรีส์ใหม่ล่าสุดอย่าง Delta 15 ซึ่งปรับเปลี่ยนดีไซน์จาก Alpha และ Bravo ใหม่หมด ออกแบบมาให้ดูมินิมอลมากยิ่งขึ้น ผสมผสานทั้งความเป็นเกมมิ่งและโน้ตบุ๊คสายทำงานได้อย่างลงตัว คล้ายๆ กับตระกูล GS

ดีไซน์คีย์บอร์ดจะให้มาเป็นแบบไซส์มาตรฐาน ปุ่มขนาดใหญ่ มีไฟ RGB Full Zone ไม่มี Numpad พร้อมกล้อง Webcam 720p ตรงกลางจอและไมโครโฟน ใช้งานวิดีโอคอลได้เลยสบายๆ โดยไม่ต้องไปซื้ออุปกรณ์เพิ่ม

⭐ จุดเด่นหลักๆ ของ MSI Delta 15 ปี 2021

  • ดีไซน์สวยไม่ดูเป็นเกมมิ่งจนเกินไปและวัสดุบอดี้ภายนอกเป็นอลูมิเนียมทั้งหมด
  • สเปคแรงเล่นได้ทุกเกมบนโลก ไม่ต้องอัปเกรดอะไรเพิ่ม
  • ระบบระบายความร้อน Cooler Boost 5 ฮีทไปป์ 6 เส้น พัดลม 2 ตัว ช่องเปล่าลมออก 3 ช่อง (ท่อฮีทไปป์ดีไซน์ใหม่บางกว่าเดิม)
  • น้ำหนักเบาเพียง 1.9 กิโล พกพาสะดวก
  • แบตอึดเคลมว่าใช้งานได้นานถึง 12 ชั่วโมง
  • หน้าจอ 240Hz ขอบเขตสี 100% sRGB
  • ระบบเสียง 3D ของ Nahimic by steelseries
  • รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6E
  • รองรับเทคโนโลยีใหม่ของ AMD ทั้ง SmartShift, Smart Access Memort, FidelityFX และ Image Sharpening

💻 สเปคเบื้องต้น DELTA 15 AMD ADVANTAGE EDITION

  •  AMD Ryzen 9 5900HX (8C/16T)
  • AMD Radeon RX 6700M 10GB GDDR6
  • RAM 16GB DDR4 bus 3200
  • SSD m.2 PCIe 1TB
  • หน้าจอ 15.6″ Full HD IPS 240Hz 100% sRGB
  • Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.2
  • แบต 82 Wh
  • น้ำหนัก 1.9 kg
  • Windows 10 Home

ทางด้านพอร์ตเชื่อมต่อคือจะมี USB-C 3.2 x1 รองรับ DP, USB-A 3.2 x2, HDMI, MicroSD Card Reader และ Headset 3.5mm แอบเสียดายนิดนึงที่ไม่มีช่อง LAN มาให้

เพิ่มเติม

ความแรง RX 6700M (TGP 135W) เฉลี่ยแรงกว่า RTX 3060 (TGP 130W) ราว 6.89% ครับ อ้างอิงจาก Jarrod’sTech

ดูผลทดสอบได้ที่

จริงๆ ยังมีรุ่น RAM 32GB ด้วย สเปคอื่นๆ เหมือนกันหมด ราคาอยู่ที่ 62,990 บาทครับ

ที่มา : https://th.msi.com/Laptop/Delta-15-A5EX/Overview

ป.ล. ชอบดีไซน์แบบนี้นะ สวยดี เบาด้วย ติดนิดเดียวที่รุ่นนี้ไม่สามารถชาร์จ USB-C PD ได้ ถ้าได้นี่คือแจ่มเลยนะ พกอะแดปเตอร์ชาร์จอันเล็กเวลาไปไหนมาไหนจะสะดวกมากๆ อะแดปเตอร์ใหญ่ไว้บ้านเวลาเล่นเกม
———————————————-

ที่มา- คอมคร้าบ

iOS 14 ตั้งค่า Back Tap เคาะหลังเครื่องเพื่อล็อคหน้าจอ, แคปเจอร์หน้าจอ และอื่นๆ ได้ มาดูวิธีตั้งค่ากัน

iOS 14 ระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นล่าสุดของ iPhone ได้ปล่อยให้ผู้ใช้งานอัปเกรดกันแล้ว และหนึ่งในฟีเจอร์ที่น่าสนใจของเวอร์ชั่นนี้ก็คือ Back Tap เคาะหลังเครื่องเพื่อทำการล็อคหน้าจอ, แคปเจอร์หน้าจอ หรือให้ทำสิ่งอื่นๆ ได้ สำหรับใครที่อยากจะใช้งาน ก็ตั้งค่าได้ง่ายๆ มาดูวิธีทำกันครับ

วิธีตั้งค่า เปิดการใช้งาน Back Tap ใน iOS 14 เคาะหลังเครื่องเพื่อล็อคหน้าจอ, แคปเจอร์หน้าจอ และอื่นๆ

ไปที่ Settings > Accessibility > Touch > Back Tap (การตั้งค่า > การช่วยการเข้าถึง > สัมผัส >การแตะด้านหลัง)

จากนั้นก็เข้าไปตั้งค่าที่ Double Tap (แตะสองครั้ง) และ Triple Tap (แตะสามครั้ง) ว่าต้องการให้เป็นคำสั่งอะไรบ้าง ซึ่งตรงนี้ก็สามารถเข้าไปเลือกตามความต้องการได้ สำหรับผมจะเลือกเป็น Lockscreen หรือการล็อคหน้าจอ และ Screenshot การแคปเจอร์หน้าจอ การตั้งค่าตรงนี้สามารถปรับเปลี่ยนได้เรื่อยๆ

การตั้งค่านี้จะช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งาน โดยที่เราไม่ต้องกดปุ่มหรือสัมผัสหน้าจอต่างๆ แต่การเคาะก็ต้องกะแรงกะจังหวะให้พอดี แรกๆ อาจจะไม่ชิน เคาะไม่ติดบ้าง แต่พอชินแล้ว ก็ถือว่าสะดวกในการใช้งานมากๆ ครับ

อุปกรณ์ที่รองรับฟีเจอร์ Back Tap
iPhone 8
iPhone 8 Plus
iPhone X
iPhone XS
iPhone XS Max
iPhone XR
iPhone 11
iPhone 11 Pro
iPhone 11 Pro Max
iPhone SE รุ่นที่ 2

ข้อมูลจาก StepGeek.TV

รวมโปรโมชั่นเด็ดๆ ซื้อของออนไลน์

แนะนำ 6 มือถือ ราคาไม่เกิน 8,000 บาท ดีไซน์สวย สเปกดี กล้องเด่น ราคาได้ใจ มีรุ่นอะไรบ้าง มาดูกัน!

แนะนำสมาร์ทโฟนรุ่นเด็ดๆ ในประจำเดือนกันยายน 2563 กันบ้าง ทางทีมงานเลยถือโอกาสมาแนะนำ 6 มือถือ ราคาไม่เกิน 8,000 บาท รุ่นน่าสนใจ ประจำเดือนกันยายน 2563 ให้ทุกท่านได้รับทราบกันว่าสมาร์ทโฟนระดับราคานี้มีรุ่นใดน่าสนใจกันบ้าง โดยรุ่นที่ทางเราคัดมาจะมีสเปคเครื่องที่ใช้งานได้ดี เล่นเกมได้ ถ่ายภาพได้สวย และวางจำหน่ายในราคาราวๆ 8,000 บาท หรือบวกลบนิดหน่อย ซึ่งจะมีรุ่นไหนน่าซื้อ หรือน่าใช้งานกันบ้าง ปัจจุบันสมาร์ทโฟนระดับนี้มีอยู่หลายรุ่นด้วยกัน ซึ่งแต่ละรุ่นก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ถ้าหากทุกท่านพร้อมแล้ว ขอเชิญรับชมกันเลยครับ

1.OPPO A92

มาต่อกันที่ OPPO A92 สมาร์ทโฟนรุ่นขายดีของแบรนด์ OPPO เช่นกัน โดย OPPO A92 จะมีจุดเด่นหน้าจอแสดงผลแบบ 1080p Neo-Display ที่ไร้รอยบาก ทำให้รับชมคอนเทนท์ต่างๆ ได้เต็มพื้นที่ของหน้าจอ พร้อมทั้งแสดงผลออกมาได้คมชัดที่ระดับ Full HD+ อีกทั้งได้รับการรับรองการถนอมสายตาจาก TüV Rheinland เรียกได้ว่า ใช้งานได้แบบสบายดวงตา นอกจากนี้ สเปกเครื่องก็จัดว่าดี ไม่ว่าจะเป็น ชิปเซ็ต Snapdragon 665 บวกกับหน่วยความจำแรมขนาด 8GB กับหน่วยความจำภายในขนาด 128GB, พร้อมรองรับระบบเสียง Dirac 2.0 สำหรับเล่นเกมได้ลื่นๆ พร้อมมีลำโพงเสียงแบบคู่ กับพลังเสียงที่ทรงพลัง

นอกจากนี้ OPPO A92 ยังมีล้องดิจิทัลด้านหลังแบบ 4 เลนส์ ที่รองรับการถ่ายภาพได้หลากหลาย อีกทั้ง ยังมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5000 mAh ที่รองรับระบบชาร์จเร็ว 18W ทำให้ใช้งานได้ยาวนานตลอดวัน หรือหากแบตเตอรี่ใกล้จะหมดก็สามารถชาร์จได้อย่างรวดเร็วทันใจ

โดย OPPO A92 วางจำหน่ายในราคาเพียง 8,999 บาท มีให้เลือก 2 สี คือ Twilight Black และ Shining White ซึงหากเทียบกับราคาค่าตัวก็นับว่าคุ้มค่าเป็นอย่างมาก

สั่งซื้อออนไลน์
Shopee ฿7,770

2. Vivo Y50

ทางด้าน Vivo Y50 ก็นับว่าอีกหน่ึงสมาร์ทโฟนระดับกลางที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเช่นกัน โดย Vivo Y50 เป็นมือถือระดับกลางที่มาพร้อมกับคุณสมบัติตัวเครื่องอัดแน่นอย่างครบครันที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ พร้อมฝังกล้องไว้ในหน้าจอ ทำให้แสดงผลได้เต็มพื้นที่, สเปกอัปเกรดเป็น Snapdragon 665 เร็วแรงมากขึ้น บวกกับหน่วยความจำแรมขนาด 8GB กับหน่วยความจำภายในขนาด 128GB เรียกได้ว่า ใช้งานได้ไหลลื่น

นอกจากนี้ ยังมีกล้องดิจิทัลความละเอียดสูงทั้งด้านหน้าด้านหลัง ทำให้ถ่ายภาพได้หลากหลายรูปแบบ รวมไปถึงการถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อยก็คมชัด ภาพมุมมองกว้างก็สดใส เรียกได้ว่า เพียงแค่หยิบออกมาก็ถ่ายภาพได้ทันที

และแบตเตอรี่ขนาด 5000 mAh ที่ใช้งานได้ยาวนานตลอดทั้งวัน ซึ่งโดยรวมก็นับว่าคุ้มค่ากับราคาที่ 7,499 บาท และหากมองรวมในกลุ่มนี้ Vivo Y50 นับว่าเป็นเป็นรุ่นที่คุ้มค่าเป็นอย่างมาก

สั่งซื้อออนไลน์
Shopee ฿6,490

3. Vivo S1 Pro

ถึงแม้ว่า Vivo S1 Pro จะวางจำหน่ายมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่า Vivo S1 Pro นั้นเป็นอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนระดับกลางที่ได้รับความนิยมไม่น้อย เนื่องด้วยมีดีไซน์ที่สวย พร้อมด้วยคุณสมบัติตัวเครื่องที่ดีสามารถตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลาย ทั้งชิปเซ็ต Snapdragon 665 พร้อม RAM 8GB + ROM 128GB ซึ่งสามารถตอบโจทย์ต่างๆ ได้ดีไหลลื่นอย่างแน่นอน

และไม่แบตเตอรี่ที่อึดพอสมควรสามารถใช้งานได้ยาวนานตลอดทั้งวัน จึงไม่แปลกที่ Vivo S1 Pro จะได้รับความนิยมอย่างที่ได้กล่าวเอาไว้ในช่วงแรก และล่าสุดทาง Vivo ประเทศไทย ได้ปรับราคาของ Vivo S1 Pro ใหม่เพียง 7,999 บาท ซึ่งทำให้สมาร์ทโฟนรุ่นนี้เข้าถึงได้ง่ายกว่าเดิม

สั่งซื้ออนไลน์
Shopee ฿ 6,300

4. Samsung Galaxy M31

สำหรับในรุ่นที่สองก็จะยังเป็นของแบรนด์ Samsung อยู่เช่นเคย นั่นคือ Samsung Galaxy M31สมาร์ทโฟนซีรี่ย์ระดับกลาง เน้นแบตเยอะมาก เล่นยาวๆ ทั้งวันไม่ต้องชาร์จ โดย Samsung Galaxy M31 ก็วางจำหน่ายมาได้สักระยะนึงแล้ว แต่ก็ยังเป็นรุ่นยอดนิยมรุ่นที่นึงด้วยเช่นกัน เนื่องด้วย Samsung Galaxy M31 มีแบตเตอรี่ถึง 6000 mAh เพื่อรองรับการใช้งานยาวนานตลอดทั้งวัน

แต่ Samsung Galaxy M31 ก็ไม่ได้มีดีแค่เฉพาะแบตเตอรี่เท่านั้น เพราะว่าสเปกเครื่องที่ติดตัวมาก็รองรับการใช้งานได้หลากหลายเช่นกัน เริ่มตั้งแต่ ชิปเซ็ต Exynos 9611 บวกกับหน่วยความจำแรมขนาด 6GB กับหน่วยความจำภายในขนาด 128GB ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีกล้องหลัง 4 เลนส์ รองรับการถ่ายภาพได้หลากหลายแบบ

ส่วนกล้องดิจิทัลด้านหน้าก็ให้มาสูงถึง 32 ล้านพิกเซล สำหรับถ่ายภาพเซลฟี่ได้อย่างเพลิดเพลิน นอกจากนี้ ยังมีระบบเสียง Dolby Atmos สำหรับฟังเพลง หรือดูภาพยนตร์ได้อย่างเร้าใจ ในด้านของราคาก็อยู่ที่ 7,590 บาท นับว่าย่อมเยาเป็นอย่างมาก

สั่งซื้อออนไลน์

Shopee ฿6,900

5. Huawei nova 7i

Huawei Nova 7i เป็นสมาร์ทโฟนระดับกลางที่มาพร้อมฟังก์ชันและฟีเจอร์แบบจัดเต็ม นอกจากนี้ ยังมีกล้องดิจิทัลด้านหลังถึง 4 เลนส์ อีกทั้งยังมีกล้องหน้าที่ให้ภาพนิ่งความละเอียดถึง 16 ล้านพิกเซล พร้อมโหมด Super Night Selfie 2.0 ให้ถ่ายเซลฟี่ในที่แสงน้อยได้คมชัดแม้ในที่มืด ทั้งยังมาพร้อมระบบ AI Video Editing สุดชาญฉลาดที่ช่วยตัดต่อวิดีโอได้ง่ายเสมือนมือโปร

ไม่เพียงแค่นั้น Huawei Nova 7i ก็มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ สามารถใช้งานได้ยาวนาน และมีระบบที่ชาร์จเร็วเป็นอย่างมากที่ระดับ 40W จึงทำให้ชาร์จแบตเตอรี่ได้เร็ว คือ ชาร์จ 70% ได้ภายในเวลา 30 นาที ในส่วนของชิปเซ็ตที่ใช้ก็ดี ตอบโจทย์การใช้งานได้ไหลลื่น แม้จะเป็นการเล่นเกมอย่าง ROV ก็ตาม

และที่พิเศษไปกว่านั้น คือ มีเทคโนโลยี Kirin Gaming+ ที่จะช่วยยกระดับประสบการณ์เกมมิ่งให้สายอีสปอร์ตทุกคนเล่นเกมสุดมันส์ได้ทุกที่ทุกเวลาอย่างไม่มีกระตุก นอกจากนี้ ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องแอปพลิเคชัน เพราะสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันที่ต้องการได้ผ่านแอปพลิเคชัน Huawei AppGallery นอกจากนี้ ก็วางจำหน่ายในราคาเพียง 8,990 บาท หากมองสิ่งที่ได้ก็นับว่าสมเหตุสมผลไม่น้อยเลยทีเดียว

สั่งซื้อออนไลน์

Shopee ฿ 7,590

6. Xiaomi Redmi Note 9 Pro

ในส่วนของ Xiaomi Redmi Note 9 Pro ก็โดนเด่นไม่แพ้รุ่นอื่น เนื่องจากพึ่งจะได้รับกระสแสมาร์ทโฟนรุ่นขายดีอีกหนึ่งรุ่นเมื่อไม่นานมากนี้ เนื่องด้วยมีดีไซน์ที่สวยเป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ ยังมีหน้าจอแสดงผลแบบ DotDisplay ที่มีขนาดใหญ่เต็มตา สามารถรับชมคอนเทนท์ต่างๆ ได้เต็มตา

ไม่เพียงแค่นั้น หน้าจแสดงผลยังผ่านการรองรับจาก TÜV สถาบันรับรองความปลอดภัยจากประเทศเยอรมันสามารถกรองแสงสีฟ้าได้ ทำให้ถนอมสายตาในเวลาที่ใช้งานในสภาวะแสงน้อยได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีสเปกที่ดี สามารถเล่นเกมอย่าง PUBG Mobile หรือ ROV ได้แบบสบายๆ

อีกทั้ง ยังมีกล้องดิจิทัลด้านหลังแบบ 4 เลนส์ ซึ่งรองรับการถ่ายภาพได้หลากหลายแน่นอน และที่สำคัญคือ มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ระดับ 5020 mAh จึงทำให้สมาร์ทโฟนรุ่นนี้สามารถใช้งานได้ยาวนานตลอดทั้งวัน พร้อมทั้งสามารถชาร์จได้อย่างรวดเร็ว เพราะรองรับระบบชาร์จเร็วที่ 30W ซึ่งหากเทียบกับราคาเริ่มต้น 7,999 บาท ต้องยอมรับว่า Xiaomi Redmi Note 9 Pro เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นนึงที่คุ้มค่ากับค่าตัวเป็นอย่างมาก

สั่งซื้อออนไลน์
Shopee ฿ 7,757

รวมโปรโมชั่นเด็ดๆ ซื้อของออนไลน์

ข้อมูลจาก stepgeek.tv

REALME 6 PRO VS REDMI NOTE 9S

 
  REALME 6 PRO REDMI NOTE 9 S
หน้าจอ  LCD ขนาด 6.6 นิ้ว ความละเอียด FHD+ รีเฟรชเรท 90Hz DotDisPlay ขนาด 6.67 นิ้ว Full HD+ Gorilla Glass 5
CPU Snapdragon 720G Snapdragon 720G
RAM (LPDDR4X) 8GB 4GB / 6GB
ROM (UFS 2.1) 128GB 64GB / 128GB
กล้องหลัง 64MP + 8MP + 12MP + 2MP 48MP + 8MP + 5MP + 2M
กล้องหน้า 16MP + 8MP 16MP
แบตเตอรี่ 4300 mAh รองรับชาร์จไว 30W 5,020 mAh รองรับชาร์จเร็ว 18W
ราคา 10,999 7,999

REALME 6 PRO

LAZADA    ฿ 8,750       

SHOPEE    ฿ 8,690       

REDMI NOTE 9 S

LAZADA  ฿ 6,469           

SHOPEE  ฿ 6,448           

Huawei nova 7 SE vs OPPO Reno 4

Huawei nova 7 SE vs OPPO Reno 4

ข้อมูลมือถือ OPPO Reno 4 – ออปโป้

ข้อมูลตัวเครื่อง

ข้อมูลเครือข่าย (Network)

ระบบปฏิบัติการ (OS, CPU, GPU)

  – microSD สูงสุด 256 GB

ระบบเชื่อมต่อ

  • การหาตำแหน่ง: Assisted GPS
  • WiFi 802.11 a/b/g/n/ac
    – จุดกระจายสัญญาณอินเตอร์เน็ตแบบพกพา (Portable Wi-Fi Hotspot)
    – เชื่อมต่อไร้สายระหว่างอุปกรณ์โดยตรง (Wi-Fi Direct)
  • Bluetooth 5.1
  • Type-C USB 2.0
  • รองรับการถ่ายโอนข้อมูลกับ Flash Drive โดยตรง (USB On-The-Go)
  • ช่องเสียบชุดหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร

ฟังก์ชั่นมัลติมีเดีย

แบตเตอรี่ – ระบบชาร์จ

ข้อมูลมือถือ Huawei nova 7 SE – หัวเหว่ย

ข้อมูลตัวเครื่อง

ข้อมูลเครือข่าย (Network)

ระบบปฏิบัติการ (OS, CPU, GPU)

ระบบเชื่อมต่อ

ฟังก์ชั่นมัลติมีเดีย

แบตเตอรี่ – ระบบชาร์จ

 

Huawei nova 7 SE

LAZADA   ฿ 10,888   

SHOPEE   ฿11,020     

OPPO Reno 4

LAZADA  ฿ 11,990   

SHOPEE  ฿ 10,150   

ตอบโจทย์ทุกความต้องการ กับบัตร KTC PROUD เป็นทั้งบัตรกดเงินสด และบัตรผ่อนสินค้า 0% นานสูงสุด 24 เดือน

#คุณสมบัติ

‣ ผู้มีรายได้ประจำ เช่น เจ้าหน้าที่บริษัท ข้าราชการ หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น
‣ สัญชาติไทย อายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์
‣ รายได้ขั้นต่ำ 12,000 บาท / เดือน ขึ้นไป
‣ มีอายุงานในสถานที่ทำงานปัจจุบันอย่างน้อย 4 เดือน
‣ เป็นเจ้าของกิจการหรือผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัวที่มีอายุกิจการตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป และมีรายได้ขั้นต่ำ 30,000 บาทต่อเดือน
‣ มีโทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้สะดวก ที่บ้านหรือที่ทำงาน

สมัครเลย ที่นี่

วิธีแก้ไข Shortcut Bar บน Facebook จะเปิด-ปิด หรือจะเปลี่ยนตำแหน่งก็ได้ง่าย ๆ ทั้ง Android และ iOS

แอปโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook ได้เปิดให้บริการบน Android และ iOS มาตั้งแต่ปี 2010 ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตัวแอปก็ได้มีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ทั้ง UX และ UI อยู่เป็นระยะ ๆ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้แก่ผู้ใช้ จนกระทั่งปัจจุบันเหลือแต่แท็บควบคุมหลัก ๆ ที่มี shortcut อยู่แค่ไม่กี่อย่าง แต่นั่นก็อาจจะยังดูเยอะและรกอยู่ดีสำหรับบางคน เพราะบาง shortcut ก็ไม่ได้ใช้งานเลย ดังนั้นผมเลยจะมาบอกวิธีปิด shortcut ที่ไม่จำเป็นออกไปได้แบบง่าย ๆ สามารถอ่านได้ในบทความนี้เลยครับ

FACEBOOK ทดลองเปลี่ยน SHORTCUT BAR อยู่หลายครั้ง
Facebook ได้ทำการทดสอบปรับเปลี่ยนตำแหน่งของเจ้า Shortcut Bar นี้อยู่หลายรอบแล้ว ทั้งทดลองใส่นั่นใส่นี่ ย้ายตำแหน่ง shortcut ภายในแท็บ หรือแม้กระทั่งย้ายทั้งแท็บไปมาระหว่างด้านบนและด้านล่างของหน้าจอ ซึ่งสาเหตุที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมานั้นก็พอจะเข้าใจได้ว่า มันยังไม่สามารถที่จะให้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจต่อผู้ใช้งานทุกคนได้ เพราะแต่ละคนก็มีการใช้งานที่แตกต่างกันไป รวมถึงเหตุผลด้านความเคยชิน

Shortcut Bar ของ Android จะอยู่บริเวณด้านบน ส่วน iOS จะอยู่บริเวณด้านล่าง

ยอมเปิดให้ผู้ใช้ปรับแต่งเองได้แล้ว
ในตอนนี้ Facebook จึงแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการยอมเปิดให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปแก้ไข shortcut ที่จะแสดงบน Shortcut Bar ได้ด้วยตัวเองแล้ว โดยเราสามารถเลือกเปิดปิด shortcut ได้เกือบทุกอย่างตามนี้เลย

  • Profile
  • Friend Requests
  • Groups
  • Video on Watch
  • Gaming

จริง ๆ แล้วมี shortcut ให้ปรับเยอะกว่านี้ แต่เครื่องผมมีให้เลือกแค่ 3 รายการ

วิธีการแก้ไข SHORTCUT BAR
เราสามารถแก้ไข Shortcut Bar ได้ง่าย ๆ ซึ่งทั้ง Android และ iOS จะใช้วิธีการแบบเดียวกันเป๊ะ ๆ ตามนี้เลยครับ

กดค้างตรงนี้

วิธีที่ 1 : กดค้างที่ shortcut อันใดอันหนึ่ง (นอกเหนือจาก Home, Notifications และ Menu เพราะ 3 รายการนี้จะถูกล็อกเอาไว้) หลังจากนั้นจะมี pop-up ขึ้นมา ให้เราเลือกไปที่ Manage Shortcut Settings แล้วก็ปรับเอาตามใจได้เลย
จากนั้นเลือกไปที่ Manage Shortcut Settings

วิธีที่ 2 : หากเราไปลบ shortcut ออกจนหมด จนเหลือแต่ Home, Notifications และ Menu เราจะไม่สามารถเข้าไปแก้ไข shortcut ได้ด้วยวิธีนี้ (เพราะ 3 รายการนี้มันถูกล็อกไว้ตามที่แจ้งไปด้านบน) แต่ไม่ต้องกังวลไป เรายังสามารถเข้าไปแก้ไขมันได้อยู่ วิธีการคือ เข้าไปที่ Menu → Settings → Shortcut Bar แค่นี้เอง ไม่ยุ่งยากใช่มั้ยล่ะครับ

หากปิด shortcut ทุกอย่าง จะเหลือเพียงแค่ 3 รายการโล่ง ๆ

แต่จากที่ลองทดสอบดู พบว่า แต่ละคนจะมีรายการ shortcut ที่สามารถตั้งค่าได้ไม่เท่ากัน (อย่างของผมตอนทดสอบจะมีแค่ 3 แต่เครื่องของเพื่อนกลับมีถึง 4 และ 5 รายการ) ซึ่งก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไม อย่างไรก็ดี ในตอนนี้ก็คงต้องหวังว่า ทาง Facebook จะแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ ในการอัปเดตครั้งต่อ ๆ ไปครับ

ข้อมูจาก droidsans

ซื้อเครื่องเปล่าไม่ติดโปร!!! iPhone 7 ราคาพิเศษ จ่ายเพียง 8,998 บาท (ราคาปกติ 17,500 บาท)

ใครที่กำลังหาซื้อ iPhone รุ่นใหม่อยู่ แต่เงินในกระเป๋าไม่เพียงพอที่จะซื้อ ซึ่งอย่างที่ทุกคนรู้ว่าค่าย Apple มักจะมีราคาสมาร์ทโฟนที่สูงอยู่ไม่ใช่น้อย บางรุ่นก็ครึ่งแสน แต่บางรุ่นก็มีราคาถูก ล่าสุด ทาง Studio 7 ได้จัดโปรโมชั่นพิเศษและราคาดีสุดคุ้มกับ iPhone 7 ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 8,998 บาทเท่านั้น จากราคาปกติอยู่ที่ 17,500 บาท ซึ่งราคานี้เป็นราคาเครื่องเปล่าไม่ติดโปรแต่อย่างใด

iPhone 7 ราคาเริ่มต้นที่ 8,998 บาท

ในรุ่น 32GB ราคา 8,998 บาท จากราคาปกติอยู่ที่ 17,500 บาท
iPhone 8 ราคาเริ่มต้นที่ 13,900 บาท

ในรุ่น 64GB ราคา 13,900 บาท จากราคาปกติอยู่ที่ 15,900 บาท
iPhone 8 Plus ราคาเริ่มต้นที่ 16,400 บาท

ในรุ่น 64GB ราคา 16,400 บาท จากราคาปกติอยู่ที่ 19,900 บาท
iPhone XR ราคาเริ่มต้นที่ 21,500 บาท

ในรุ่น 64GB (เฉพาะสีดำ/สีแดงและสีขาว) ราคา 21,500 บาท จากราคาปกติอยู่ที่ 21,900 บาท
ในรุ่น 64GB (เฉพาะสีน้ำเงิน/สี Coral และสีเหลือง) ราคา 20,900 บาท จากราคาปกติอยู่ที่ 21,900 บาท
ในรุ่น 128GB (เฉพาะสีดำ/สีแดงและสีขาว) ราคา 23,500 บาท จากราคาปกติอยู่ที่ 23,900 บาท
ในรุ่น 128GB (เฉพาะสีน้ำเงิน/สี Coral และสีเหลือง) ราคา 22,900 บาท จากราคาปกติอยู่ที่ 23,900 บาท
ในรุ่น 256GB ราคา 24,900 บาท จากราคาปกติอยู่ที่ 27,900 บาท

iPhone Xs ราคาเริ่มต้นที่ 22,900 บาท

ในรุ่น 64GB ราคา 22,900 บาท จากราคาปกติอยู่ที่ 31,900 บาท
ในรุ่น 256GB (เฉพาะสี Space Gray และ/สีทอง) ราคา 26,900 บาท จากราคาปกติอยู่ที่ 37,900 บาท
iPhone Xs Max ราคาเริ่มต้นที่ 24,900 บาท

ในรุ่น 64GB (เฉพาะสี Space Gray และสีทอง) ราคา 24,900 บาท จากราคาปกติอยู่ที่ 35,900 บาท
ในรุ่น 64GB (เฉพาะสีเงินและ/สีทอง) ราคา 24,500 บาท จากราคาปกติอยู่ที่ 35,900 บาท
ในรุ่น 256GB (เฉพาะสี Space Gray และสีทอง) ราคา 28,300 บาท จากราคาปกติอยู่ที่ 41,900 บาท
ในรุ่น 256GB (เฉพาะสีเงิน) ราคา 27,900 บาท จากราคาปกติอยู่ที่ 41,900 บาท

iPhone 11

ในรุ่น 64GB ราคา 24,500 บาท จากราคาปกติอยู่ที่ 24,900 บาท
ในรุ่น 128GB ราคา 26,100 บาท จากราคาปกติอยู่ที่ 26,900 บาท
ในรุ่น 256GB ราคา 29,900 บาท จากราคาปกติอยู่ที่ 30,900 บาท

iPhone 11 Pro

ในรุ่น 64GB ราคา 35,100 บาท จากราคาปกติอยู่ที่ 35,900 บาท
ในรุ่น 256GB ราคา 40,700 บาท จากราคาปกติอยู่ที่ 41,900 บาท
iPhone 11 Pro Max

ในรุ่น 64GB ราคา 38,900 บาท จากราคาปกติอยู่ที่ 39,900 บาท
ในรุ่น 256GB ราคา 44,700 บาท จากราคาปกติอยู่ที่ 45,900 บาท
ในรุ่น 512GB ราคา 51,400 บาท จากราคาปกติอยู่ที่ 52,900 บาท

นอกจากนี้ ถ้าหากซื้อ iPhone วันนี้จะได้รับสิทธิ์ใช้ Apple TV+ ฟรี 1 ปีเต็มๆ และสามารถรับชมผ่านทางแอป Apple TV แถมยังได้รับการสัมผัสประสบการณ์การเล่นที่ไม่ธรรมดาบน Apple Arcade ที่เล่นทาง App Store (ทดลองใช้ฟรี 1 เดือน) และสามารถผ่อนได้แบบสบายๆ 0% นานถึง 24 เดือนกับธนาคารที่ร่วมรายการ (คลิก) หรือช้อปออนไลน์สบายๆ ผ่อน 0% นาน 10 เดือน

ข้อมูลจาก www.stepgeek.tv