เทคโนโลยี

รีวิว Nokia X10 5G มือถือสุดคุ้ม เล่นเกมลื่น ราคา5,999 บาท

Nokia X10 5G นับว่าเป็นมือถือที่มีสเปค+ราคาน่าสนใจมาก ๆ รุ่นนึงเลย ด้วยค่าตัวแค่ 5,999 บาท แต่ได้การใช้งาน 5G, หน้าจอ FHD+, กล้องหลังแปะแบรนด์ ZEISS, แบตเตอรี่อึด ๆ พร้อมระบบ Android 13 รุ่นล่าสุดด้วย ส่วนการใช้งานจริงจะเป็นยังไงบ้าง และกล้องหลังจะดีแค่ไหน คุ้มค่าคุ้มราคารึเปล่า…ก็มาดูกันได้เลยจ้า

ดีไซน์ตัวเครื่อง
Nokia X10 5G มีดีไซน์ตัวเครื่องที่เน้นความโค้งมน ทั้งตรงขอบเครื่องและตรงมุมเครื่อง จนหาส่วนที่เป็นเหลี่ยมเป็นมุมไม่เจอเลย ฝาหลังเครื่องใช้วัสดุแบบพลาสติกพื้นผิวเรียบแต่ไม่ถึงกับมันวาว เลยไม่ค่อยเห็นรอยนิ้วมือมากนัก

กล้งหลังอยู่บนโมดูลวงกลมตรงกลางด้านบน พร้อมโลโก้ ZEISS ที่มีกล้อง 4 ตัว ล้อมรอบ ถัดมาด้านซ้ายเป็นไฟแฟลช LED

ขอบเครื่องด้านขวามีปุ่มปรับเสียง + ปุ่ม Power ที่เป็นเซนเซอร์สแกนนิ้วมือด้วย ขอบเครื่องด้านซ้ายมีถาดใส่ซิม และปุ่มสำหรับเรียก Assistant แต่เสียดายที่ปุ่มไม่สามารถปรับให้ใช้ทำอย่างอื่นได้ นอกจากเอาไว้เรียกผู้ช่วยหรือปิดการทำงานของปุ่มไปเลย

หน้าจอ FHD+ ดู NETFLIX HD ได้
มือถือรุ่นนี้ใช้หน้าจอแบบ LCD ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด FHD+ ดีไซน์แบบเจาะรูตรงกลางด้านบนสำหรับวางกล้องเซลฟี่ พาเนลมีความสว่างก็มากพอที่จะใช้งานกลางแจ้งได้แบบไม่ต้องเพ่งมาก

นอกจากนี้ยังรองรับการดู Netflix แบบ HD ได้อีกด้วยนะ บอกเลยว่าราคานี้ได้ทั้งจอ FHD+ ทั้ง Netflix HD เป็นอะไรที่คุ้มเลยล่ะ แต่แนะนำว่าเวลาดู ให้เอาหูฟังมาใช้ด้วยจะได้อารมณ์กว่า เพราะลำโพงของรุ่นนี้มีตัวเดียวแล้วเสียงค่อนข้างแห้ง…ไม่สะใจ

สเปคและการใช้งาน

แม้จะใช้ชิป Snapdragon 480 ที่ไม่ได้แรงอะไรมากมาย แต่ก็สามารถใช้งานทั่วไปได้แบบไม่ติดขัด จะเปิดเว็บบน Chrome ไว้หลายแท็บ สลับไปมาก็ไม่มีอาการอืดหรือสะดุดให้เห็น

ทดสอบเล่นเกมกราฟิก 3D ฮิต ๆ อย่าง ROV, PUBG หรือแม้แต่ Genshin Impact ก็สบายแฮ ขอแค่ปรับกราฟิกให้เหมาะก็พอ (ที่เล่นคือปรับกราฟิกแบบ Default)

 

สเปค NOKIA X10 5G
  • หน้าจอ IPS LCD ขนาด 6.67  นิ้ว ความละเอียด FHD+ (1080 x 2400)
  • CPU : Snapdragon 480 5G
  • RAM : 6GB
  • ความจุ : 128GB รองรับ microSD Card (Hybrid)
  • กล้องหลัง 4 ตัว
    • กล้องหลัก 48MP
    • กล้อง Ultrawide 5MP
    • กล้องจับความลึก 2MP
    • กล้อง Macro 2MP
  • กล้องหน้า : 8MP
  • การเชื่อมต่อ : 4G, 5G WiFi 802.11 a/b/g/n/ac
  • เซนเซอร์ : ลายนิ้วมือ (ข้างเครื่อง) ,ระบบจดจำใบหน้า, ระบบเปิด/ปิดหน้าจออัตโนมัติขณะสนทนา , ระบบเซนเซอร์หมุนภาพ , ระบบหมุนภาพอัตโนมัติ
  • ระบบเสียง : รูหูฟัง 3.5 มม.
  • แบตเตอรี่ : 4470 mAh รองรับชาร์จไว 18W
  • ระบบ Android 13
กล้องหลัง ZEISS

กล้องหลังให้มาทั้งหมด 4 ตัว ประกอบด้วย กล้องหลัก 48MP + กล้อง Ultrawide 5MP + กล้องจับความลึก 2MP + กล้อง Macro 2MP ซึ่งทาง Nokia ได้ร่วมกันพัฒนาระบบกล้องกับค่าย ZEISS เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการถ่ายภาพ

 

ที่มา-droidsans

สเปค Samsung Galaxy F23 5G แบตอึด กล้องหลัง 50MP ราคาเริ่มต้น 6,900 บาท

Samsung เปิดตัวมือถือซีรีส์ F รุ่นใหม่ล่าสุด Galaxy F23 5G ภาคต่อจาก Galaxy F22 ที่เปิดตัวไปเมื่อช่วงกลางปี 2021 โดยคราวนี้แน่นอนว่าได้รับการอัปเกรดสเปคต่าง ๆ ให้ดีขึ้นกว่าเดิมไม่ว่าจะเป็นชิป กล้องหลัง แถมยังรองรับการใช้งาน 5G อีกด้วย โดยเปิดราคาในประเทศอินเดียเริ่มต้นที่ 15,999 รูปี หรือราว ๆ 6,900 บาทเท่านั้นเอง

Galaxy F23 5G คราวนี้มีรูปร่างหน้าตาที่เปลี่ยนไปจากรุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัดเลย ทั้งตัวเครื่องด้านหลังที่คราวนี้เป็นพื้นผิวเรียบ ๆ แล้ว ส่วนโมดูลกล้องก็เปลี่ยนมาเป็นแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีกล้อง 3 ตัว เรียงลงมาเป็นแนวตั้ง

ด้านหน้ายังคงใช้ดีไซน์ Notch หยดน้ำเหมือนเดิม (แต่ดูเล็กลง) ส่วนขนาดของจออยู่ที่ 6.6 นิ้ว ความละเอียด FHD+ รีเฟรชเรทสูงขึ้นจาก 90Hz เป็น 120Hz ลื่นไหลสบายตาขึ้น แต่แลกกับการเปลี่ยนมาใช้พาเนล LCD แทน และยังทนทานรอยขีดข่วนด้วย Gorilla Glass 5

สเปคเครื่องเรียกว่าใช้งานในปัจจุบันได้สบายด้วยชิป Snapdragon 750G, RAM LPDDR4x ให้เลือก 2 ขนาด คือ 4GB และ 6GB, ความจุในตัว 128GB รองรับ microSD Card พร้อมแบตเตอรี่ขนาด 5000 mAh ซึ่งมีขนาดเล็กลงกว่าของรุ่นที่แล้ว แต่ได้อัปเกรดระบบชาร์จไวขึ้นมาเป็น 25W

กล้องหลังมีทั้งหมด 3 ตัว ประกอบด้วยกล้องหลักความละเอียด 50MP + กล้อง Ultrawide ความละเอียด 8MP + กล้อง Macro ความละเอียด 2MP และกล้องหน้าความละเอียด 8MP

สเปค GALAXY F23 5G
  • หน้าจอ LCD ขนาด 6.6 นิ้ว ความละเอียด FHD+ รีเฟรชเรท 120Hz
  • CPU : Snapdragon 750G
  • GPU : Adreno 619
  • RAM : 4GB / 6GB รองรับฟีเจอร์ RAM Plus
  • ความจุ : 128GB รองรับ microSD card
  • กล้องหลัง 3 ตัว
    – กล้องหลักความละเอียด 50MP
    – กล้อง Ultrawide ความละเอียด 8MP
    – กล้อง Macro ความละเอียด 2MP
  • กล้องหน้า : 8MP
  • การเชื่อมต่อ : 5G, WiFi 802.11.b/g/n/ac (2.4GHz + 5GHz), BT 5.0
  • สแกนนิ้วมือด้านข้าง
  • มีรูหูฟัง 3.5 มม.
  • แบตเตอรี่ : 5000 mAh รองรับชาร์จไว 25W
  • ระบบ Android 12 ครอบด้วย One UI 4.1
  • ขนาด / น้ำหนัก : 165.5 x 77.7 x 8.4 มม. / 198 กรัม

Galaxy F23 5G จะเริ่มวางจำหน่ายในประเทศอินเดียตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคมเป็นต้นไป โดยรุ่น 4GB มีราคาอยู่ที่ 15,999 รูปี หรือราว ๆ 6,900 บาท และรุ่น 6GB ราคาอยู่ที่ 18,499 รูปี หรือประมาณ 8,000 บาท ครับ

 

ที่มา-droidsans

10 เทรนด์เทคโนโลยีอนาคต?ในมุมมองด้านครีเอทีฟ / สก็อต เบลสกี้

สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้มาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา คือ รูปแบบการทำงานและการใช้ชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไป และจะยิ่งเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างมากใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ เราได้แบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับไอเดียใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น แทนที่จะกล่าวถึงเทรนด์ที่เห็นอย่างชัดเจน โดยการคาดการณ์ The near future of technology ครอบคลุมมุมมองต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นและส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คน รวมทั้งสิ่งที่แบรนด์จะต้องตระหนักถึง ดังนี้:

1. คำแนะนำที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะเข้ามาแทนที่รายการ​ Favorites

รายการโปรด​ หรือ “Favorites” จะถูกแทนที่ด้วย AI ถ้าเรามองย้อนกลับไป เราจะพบว่าการรวบรวมและเรียกใช้ “รายการโปรด” เป็นความพอใจในสิ่งที่มีอยู่ กล่าวคือ เราพอใจสิ่งต่างๆ ที่เราชอบอยู่แล้ว แทนที่จะสำรวจสิ่งใหม่ๆ เพื่อขยายรสนิยมหรือความชอบของเราให้หลากหลายมากขึ้น

เมื่อไม่นานมานี้ แทนที่ผมจะบันทึกเพลย์ลิสต์ที่พบเจอและชื่นชอบบน Spotify แต่​กลับยินยอมที่จะไว้ใจอัลกอริธึม ซึ่งเหมือนกับฟีเจอร์การฟังเพลงจากวิทยุแต่มีการ “ยกระดับ” ขีดความสามารถให้ดียิ่งขึ้น และสิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับแง่มุมอื่นๆ ในชีวิตประจำวันของเรา เช่น ประสบการณ์การเดินทางที่ชื่นชอบจะนำไปสู่ recommendation ซึ่งจะเข้ามาแทนที่การค้นหาข้อมูลบน Google

ทุกสิ่งที่คุณชื่นชอบจะกลายเป็นข้อจำกัดหรือการตีกรอบให้กับชีวิตของคุณ​ ​โดยคุณอาจจะสนใจอยู่แต่เรื่องเหล่านี้จนไม่มีโอกาสที่จะสำรวจประสบการณ์ใหม่ๆ ที่อาจจะดีกว่า (ตามกฎของความเป็นไปได้) ยิ่งเราจำกัดตัวเองไว้เฉพาะที่ “รายการโปรด” เราก็ยิ่งไม่มีโอกาสที่จะค้นพบประสบการณ์ที่ดีกว่า ซึ่งตรงจุดนี้ AI สามารถช่วยคุณได้

2. คนรุ่นใหม่จะประกอบอาชีพที่มีหลากหลายบทบาท หรือ “Polygamous Careers” และทำให้โลกขององค์กรเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

คนรุ่นใหม่ที่ก้าวเข้าสู่โลกของการทำงานจะเลือกประกอบอาชีพหลากหลายด้าน หรือที่เรียกว่า “Polygamous Careers” ความต้องการที่จะสร้างรายได้และเติมเต็มชีวิตผ่านการทำงานในหลายๆ ด้าน​จะช่วยดึงดูดพนักงานให้อยู่กับองค์กร นอกจากนี้ยังช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพในสถานที่ทำงาน และช่วยให้บริษัทสามารถสรรหาบุคลากรชั้นนำที่ยากจะเข้าถึง อาชีพการงานของแต่ละคนจะมีลักษณะเป็นพอร์ตโฟลิโอที่ระบุผลงานจากโครงการต่างๆ ไม่ว่าคุณจะเป็นดีไซเนอร์ วิศวกร พนักงานขาย หรือนักลงทุนก็ตาม

ยกตัวอย่างเช่น Polywork เป็นพัฒนาการที่ทันสมัยของ LinkedIn โดยมีการรวบรวมข้อมูลโปรไฟล์ของบุคคลอย่างละเอียดในระดับโครงการย่อยและผลงานต่างๆ แทนที่จะระบุเฉพาะตำแหน่งงาน ดังนั้นจึงอาจมีการระบุรายละเอียดต่างๆ ของงานอย่างเช่น “เขียนโค้ด” “อัพเดตแอป iOS” หรือ “เป็นวิทยากรในการประชุมสัมมนา” ในโลกของการทำงานแบบ Polygamous Career เหตุการณ์สำคัญเหล่านี้มีความสำคัญมากกว่า และอีกหนึ่งบริษัทที่น่าสนใจก็คือ Braintrust ซึ่งเป็นเครือข่ายที่ “บุคลากรเป็นเจ้าของ” โดยบริษัทจะสามารถว่าจ้างกลุ่มฟรีแลนซ์และทำงานร่วมกันได้โดยไม่ต้องผ่านคนกลางหรือเสียค่าธรรมเนียมในการสรรหาบุคลากร และท้ายที่สุดแล้ว เราก็จะได้รับประโยชน์เพิ่มมากขึ้นจากการทำงานที่เราชอบ หรือ “Tune-In Jobs” (รู้สึกเต็มอิ่มและมีส่วนร่วมอย่างมากกับงานที่ทำอยู่) ซึ่งต่างจาก “Tune-Out Jobs” (ซึ่งเราจะสนใจแต่เฉพาะเวลาเข้า-ออกงาน) และโลกของเราก็จะพัฒนาไปข้างหน้าโดยอาศัยบุคลากรที่มีส่วนร่วมกับงานอย่างจริงจัง

3. การเติบโตของประสบการณ์แบบ Immersive จะทำให้การสร้างผลงาน 3 มิติกลายเป็นกระแสหลัก

“เมต้าเวิร์ส” (Metaverse) ทำให้การเล่นเกม​ การติดต่อกับเพื่อนๆ และทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานภายในโลกเสมือนจริงเป็นแบบเรียลไทม์ คณะกรรมการยังคงอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าอุปกรณ์ใดจะถูกใช้ในการสัมผัสประสบการณ์ดังกล่าวที่สถานศึกษา ที่ทำงาน และที่บ้าน แต่เทรนด์นี้จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และทุกคนจะเข้าไปมีส่วนร่วมเหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับโทรศัพท์มือถือ อย่างไรก็ตามประสบการณ์นี้จะน่าเบื่อและไม่ได้รับความนิยม ถ้าหากไม่มีการใส่คอนเทนต์แบบอินเทอร์แอคทีฟ 3 มิติที่ดึงดูดและมีการปรับแต่งแบบเฉพาะบุคคล รวมไปถึงสื่อประเภท Immersive แต่ปัญหาคือ คอนเทนต์ 3 มิติเป็นสิ่งที่สร้างยาก โดยเมื่อก่อนนี้ ในการสร้างวัตถุ 3 มิติ จะต้องใช้โปรแกรมสร้างแบบจำลองที่ซับซ้อน และมีการคำนวณทางคณิตศาสตร์มากมาย จากนั้นก็จะต้องใช้โปรแกรมอื่นๆ อีกหลายโปรแกรมสำหรับการวาดภาพประกอบและเรนเดอร์

เราได้เรียนรู้ว่านักออกแบบส่วนใหญ่ต้องการที่จะเริ่มต้นจากวัตถุ 3 มิติในสต็อก แทนที่จะต้องสร้างขึ้นใหม่ตั้งแต่ต้น และวัตถุ 3 มิติในสต็อกที่ว่าจะนี้จะต้องสามารถกำหนดค่าพารามิเตอร์ ควบคุมจัดการได้ง่าย​เพื่อรองรับการทำงานครีเอทีฟ โดยปราศจากความยุ่งยากซับซ้อน ชุด Substance 3D ที่ประกอบด้วยเครื่องมือที่จะช่วยให้คุณสามารถปั้นชิ้นงานวัตถุ 3 มิติ (เหมือนกับงานปั้นดิน) ด้วยการสวมใส่เฮดเซ็ตสำหรับ Virtual Reality (VR) จากนั้นก็ปรับแต่งเพิ่มเติมในโปรแกรมเดสก์ท็อปเพื่อทำให้ดูสมจริงมากขึ้น เราทุกคนจะสามารถสร้างสรรค์ผลงานในรูปแบบ 3 มิติได้ทันทีที่ประสบการณ์แบบ Immersive กลายเป็นที่แพร่หลายในวงกว้าง

4. “Stakeholder Economy” จะขับเคลื่อนแบรนด์เกิดใหม่และธุรกิจท้องถิ่น และส่งผลกระทบต่อบริษัทยักษ์ใหญ่บนอินเทอร์เน็ต​ และตลาดซื้อขายสินค้าทั่วโลก

แบรนด์ต่างๆ จะถูกกำหนดด้วยมีม คอนเทนต์ และการสนทนาในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ องค์กรธุรกิจและโครงการใหม่ๆ ที่มุ่งเน้นชุมชนก็จะมีลักษณะกระจายศูนย์มากขึ้นเช่นกัน โดยโครงสร้างองค์กรใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนจะทำให้เจ้าของและลูกค้าเป็น​ stakeholders

5. ปัจจุบัน แบรนด์ต่างๆ ถูกกำหนดด้วยการสร้างคอนเทนต์ของมวลชน ซึ่งต่างจากการใช้บริการของเอเจนซี่ด้านครีเอทีฟและการซื้อโฆษณา และทุกวันนี้ แบรนด์ต่างๆ จะนำเสนอภาพลักษณ์ที่ดีและสดใหม่ได้จำเป็นต้องอาศัยคอนเทนต์ล่าสุดที่เกิดขึ้น

ถ้าแบรนด์หรือบริษัทที่คุณชื่นชอบสามารถให้คุณเป็นเจ้าของได้ ประโยชน์ที่ได้รับจากการเป็นเจ้าของร่วมกันในบริษัทขนาดเล็กอาจกลายเป็นภัยต่อบริษัทขนาดใหญ่ ถ้า​ ​stakeholders ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคนในธุรกิจดังกล่าวมีแรงจูงใจที่จะช่วยสร้าง ปรับปรุง ทำตลาด และสนับสนุนแบรนด์นั้นๆ ก็ย่อมจะช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน​ และในท้ายที่สุดแล้ว ธุรกิจที่อาศัยการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนแบบ “many-to-many” น่าจะประสบความสำเร็จในการทำตลาดได้ดีกว่าธุรกิจแบบ “one-to-many”

เราทุกคนจะเลือกรับโฆษณามากขึ้นด้วยประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคล

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะทำการปรับแต่งแบบเฉพาะบุคคล (Personalization) ได้เป็นอย่างดีจนทำให้การดูโฆษณาเป็นที่นิยมมากขึ้น​ การเจอโฆษณายาสีฟันไวท์เทนนิ่งหรือคอร์สลดน้ำหนักที่น่ารำคาญใจครั้งแล้วครั้งเล่าย่อมทำให้คนเลือกที่จะไม่ดูโฆษณา อย่างไรก็ดี “ประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคล” จะช่วยทำให้เกิด​การโฆษณารูปแบบใหม่ และโดยมากแล้วเราก็ชอบประสบการณ์แบบนี้มากกว่า

6. การบริการที่ “เพิ่มอำนาจให้แก่ประชาชน” เพื่อต่อกรกับผู้มีอำนาจ

ผมรู้สึกตื่นตาตื่นใจอย่างมากกับการเติบโตของผลิตภัณฑ์คอนซูเมอร์และเครือข่ายที่มุ่งขจัดอุปสรรค หรือโมเดลธุรกิจที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน และเราจะเห็นสิ่งเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างเช่น​แอป DoNotPay ซึ่งมีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความช่วยเหลือแก่ผู้บริโภคในการต่อสู้กับระบบราชการ และหาหนทางขจัดขั้นตอนการทำงานของภาครัฐเพื่อบรรเทาทุกข์ให้แก่ประชาชน บริการทั้งหมดนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองให้แก่ประชาชน แทนที่จะต้องรอรับบริการในระบบที่อยู่เกินอำนาจการควบคุมของประชาชน ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวนอกจากจะช่วยเหลือประชาชนแล้ว ยังเปิดโอกาสให้หน่วยงานภาครัฐและบริษัทขนาดใหญ่เข้ามามีบทบาทและดำเนินการอย่างรับผิดชอบ

7. ทุกส่วนงานขององค์กรจะแปรเปลี่ยนเป็น​ Immersive Experience รองรับ​multi-player

สิ่งที่คนไม่ค่อยพูดถึงกันก็คือเรื่องของค่าใช้จ่ายและข้อเสียของระบบผู้เล่นหลายคน (Multi-player) ไม่ว่าจะเป็นแอปที่มีประสิทธิภาพน้อยลงเมื่อรองรับการทำงาน​ร่วมกันมากขึ้น หรือโปรโตคอลที่อาศัยฉันทามติ​ (consensus)​บนบล็อกเชน อย่างไรก็ดี คนรุ่นใหม่มีทัศนคติที่เปลี่ยนไปเกี่ยวกับคุณประโยชน์และข้อเสียที่ตามมา กล่าวคือ คนกลุ่มนี้ต้องการที่จะทำงานร่วมกันมากกว่า แม้ว่าจะมีปัญหาและความล่าช้าเกิดขึ้น เมื่อเทียบกับการทำงานโดยลำพังเพียงคนเดียว แต่ทำได้เร็วกว่า

8. คนรุ่นใหม่จะชื่นชอบรูปแบบการใช้ชีวิต​และการทำงานแบบมีอิสระมากขึ้น ​(Nomad)

คนหนุ่มสาววัยยี่สิบกว่าเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ตามบ้านเช่าหรือเปลี่ยนที่พักไปเรื่อยๆ ตามที่ต่างๆ ทั่วโลก ทำงานจากระยะไกล และดื่มด่ำกับวัฒนธรรมในชุมชนที่อาศัยอยู่เพิ่มมากขึ้น ประสบการณ์ดังกล่าวจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขา และกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ การยอมรับความหลากหลายอย่างเปิดกว้าง และการค้นหาตัวเองจะส่งผลดีต่อชีวิตส่วนตัวและอาชีพการงาน มีผลิตภัณฑ์ หรือเครือข่ายประเภทใดบ้างที่จะช่วยให้ทุกคนเข้าถึงประสบการณ์ดังกล่าวได้ง่ายขึ้นและเสียค่าใช้จ่ายน้อยลง? แน่นอนว่าผลิตภัณฑ์และองค์กรนายจ้างที่ปรับเปลี่ยนไปสู่ทิศทางนี้จะประสบความสำเร็จในอนาคต

9. โมเดลแฟรนไชส์แบบย้อนกลับและ “Eduployment” จะขับเคลื่อนการเติบโตและความยืดหยุ่นของธุรกิจขนาดเล็ก

แนวคิดเรื่อง “Eduployment” จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะปลดล็อคอาชีพหลายล้านตำแหน่งในช่วงเวลาหลายปีนับจากนี้ Eduployment เป็นการบูรณาการเชิงลึกของการทำธุรกิจ การศึกษา และการหางานหรือเปิดบริษัทใหม่ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ บริษัท Nana ซึ่งฝึกอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า (เช่น เครื่องล้างจาน) และช่วยให้ได้รับงานซ่อมแซมจากผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนบริษัท Hoist จะฝึกอบรมให้คุณเป็นช่างทาสี รวมถึงทักษะด้านอื่นๆ พร้อมทั้งจัดหาอุปกรณ์ทุกอย่างที่จำเป็น และช่วยให้คุณหางานได้ภายในเวลา 30 วัน ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเปรียบเสมือนการทำธุรกิจแฟรนไชส์

10. ยุคของอัตลักษณ์ที่หลากหลาย (Multiple Identities): เราค้นหา ยอมรับ และแสดงออกซึ่งตัวตนที่หลากหลายของเรา

ยุคสมัยล่าสุดของโซเชียลเน็ตเวิร์กยอมรับ หรืออย่างน้อยก็รองรับการใช้นามแฝง แต่ในยุคหน้า โซเชียลเน็ตเวิร์กจะถูกปรับปรุงให้สอดคล้องกับความจริงที่ว่าผู้ใช้ทุกคนมีอัตลักษณ์ที่หลากหลาย แน่นอนว่าโดยธรรมชาติแล้วมนุษย์เราไม่ต้องการที่จะถูกจำกัดหรือจำแนกด้วยอัตลักษณ์เพียงหนึ่งเดียวที่ถูกกำหนดโดยคนอื่นๆ รอบตัวเรา แม้ว่าเรามีจินตนาการและความต้องการที่จะเป็นใครสักคนในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างหลากหลาย ซึ่งต่างจากสิ่งที่คนอื่นๆ บอกว่าเราเป็น แต่ก็มีอุปสรรคและแรงเสียดทาน ข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์และสถานการณ์แวดล้อม (ภูมิลำเนา รูปร่างหน้าตา คนที่คุณพบเจอ) ที่ถูกกำหนดอย่างตายตัวมากเกินไป และจะต้องใช้ความกล้าหาญ ความมุ่งมั่น และความท้าทายอย่างมากเพื่อจะสามารถหลุดจากกรอบที่ว่านี้

 

ที่มา-mgronline

ทวงคืนไลน์ส่วนตัวจากเรื่องงาน ย้ายไป ‘LINE WORKS’ สะดวกและเป็นระบบ

ทวงคืนไลน์ส่วนตัวจากเรื่องงาน ย้ายไปคุยในแอป ‘LINE WORKS‘ สะดวกและเป็นระบบกว่าเยอะ

ไลน์นอกจากเป็นโปรแกรมแชตที่เราใช้คุยในชีวิตประจำวันแล้ว ยังมีหลายๆ บริษัท มักใช้ในการคุยเรื่องงานด้วย ซึ่งทำให้เส้นแบ่งระหว่างชีวิตส่วนตัวกับงานแทบจะค่อยๆ จางลงไปทุกที

ล่าสุดผมไปเจอ LINE WORKS เป็นแอปฯ LINE สำหรับองค์กรโดยเฉพาะเลย อารมณ์คล้ายๆ Microsoft Team หมดปัญหาเรื่องข้อความแชทชอบหาย ไฟล์งานหมดอายุ แยกการแจ้งเตือนลำบาก ส่งข้อความผิดห้องแชท ไม่มีความเป็นส่วนตัว

โดยเราสามารถแบ่งกลุ่มตามตำแหน่งได้ สามารถสร้าง Task งาน และเลือกผู้รับผิดชอบได้ กำหนด Deadline ได้ด้วย มีปฏิทิน ให้ลงเวลางานต่างๆ ได้ด้วย อันนี้เป็นฟีเจอร์คร่าวๆ ซึ่งนอกจากช่วยแยกความเป็นส่วนตัวกับงานแล้ว ยังทำให้งานของเราเป็นระบบระเบียบมากขึ้นด้วย

ตอนนี้ประเทศอื่นๆ นอกญี่ปุ่นเริ่มใช้งานได้แล้ว แต่เป็นภาษาอังกฤษนะครับ ยังไม่มีภาษาไทยให้ใช้ และที่สำคัญฟรีด้วย ใช้ได้สูงสุดถึง 100 users เลยทีเดียว แต่ก็มีแพคเกจแบบเสียเงินด้วยนะครับ ลองเข้าไปดูรายละเอียดดู แต่แบบฟรีผมว่าคุ้มแล้วนะ

สามารถใช้ได้ทั้งในมือถือ Android และ iOS รวมไปถึงบน PC และ MacOs ด้วย หรือ โหลดได้ที่ https://line.worksmobile.com/jp/en/download/

 

ที่มา-Torpenguin

เจาะฟีเจอร์ EMUI 10 ประสบการณ์ UX ครั้งใหม่ในสมาร์ทโฟน Huawei เพื่อยกระดับส่วนติดต่อผู้ใช้ขึ้นไปอีกขั้น

ไฮไลท์ของงาน Huawei Developer Conference 2019 ครั้งนี้ นอกจากจะมีการเผยโฉมระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุดอย่าง HarmonyOS (HongmengOS) แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือการออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ หรือ UX (User Experience) กับการออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้ หรือ UI (User Interface) (UX กับ UI เป็นคนละสิ่งกัน แต่ก็มักจะอยู่คู่กันเสมอ) ที่ใช้งานบนสมาร์ทโฟนของ Huawei เองอย่าง EMUI (Emotion UI) ที่ล่าสุดก็เดินทางมาจนถึงเวอร์ชันที่ 10 แล้ว หรือที่เปิดตัวมาในชื่อว่า EMUI 10 นั่นเอง ซึ่งหากนับกันตั้งแต่เวอร์ชันแรก EMUI นั้นก็อยู่คู่กับผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน Huawei มาแล้วร่วม 7 ปี เรียกว่าเป็นการปรับแต่งหน้าตาของระบบปฏิบัติการ Android เดิมๆ ให้สวยงาม และเป็นมิตรกับผู้ใช้งานมากขึ้น โดย Huawei เชื่อเสมอว่า หากมีการปรับแต่งอยู่บนพื้นฐานความต้องการของผู้ใช้งาน ก็จะสามารถช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ในการใช้งานสมาร์ทโฟนที่ดีกว่า จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ Huawei พยายามพัฒนา EMUI ให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา
ซึ่ง EMUI เวอร์ชันก่อนหน้านี้ต่างก็มาพร้อมจุดขายของตนเอง เริ่มตั้งแต่ EMUI 5.0 ที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์ “Born Fast Stay Fast”EMUI 8.0 ที่มาพร้อมกับระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) กับฟีเจอร์ GPU TurboEMUI 9.0 ที่มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ “Enable a Quality Lift” กับการปรับปรุงฟีเจอร์ที่เกี่ยวกับระบบ AI ให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้มากขึ้น และสุดท้ายสำหรับ EMUI 9.1 ก็ถูกปรับแต่งอีกครั้งเกี่ยวกับการทำงานร่วมกันของเทคโนโลยีใหม่ๆ ไปจนถึงการปรับปรุงฟังก์ชันพื้นฐานให้ดีขึ้น เช่นธีม และไอคอนต่างๆ นั้นถูกอัปเดตใหม่เพื่อให้เข้ากับรูปแบบของการใช้งาน AI ในระดับสูง รวมถึงระบบไฟล์แบบใหม่ที่เรียกว่า EROFS (Extendable Read-Only File System) กับฟีเจอร์ GPU Turbo 3.0 ที่ประสิทธิภาพดีขึ้น และรองรับเกมมากขึ้น เพื่อมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม ทั้งรูปลักษณ์ กับการใช้งาน
และล่าสุดกับ EMUI 10 นั้นมาพร้อมกับ 4 ไฮไลท์สำคัญคือ New UX Design, Seamless AI Life, Faster and Smoother Operations และ Win-Win Ecosystem โดยพัฒนาอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 10 Q ที่กำลังจะมาในช่วงเดือนกันยายน 2019 เช่นกัน และเลือกใช้ Ark Compiler เพื่อการทำงานที่ลื่นไหล อีกทั้งนักออกแบบยังพัฒนา UX ของ EMUI 10 นี้ให้สวยงาม และสอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์มากขึ้นด้วย
โดยทาง Huawei กล่าวว่า EMUI 10 จะเป็นส่วนประสานผู้ใช้แบบ Distributed OS จึงช่วยให้นักพัฒนาสามารถจำลองรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกันได้ และจำลองการทำงานต่อเนื่องระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ได้ เสมือนว่านักพัฒนามี Virtual Machine ที่มีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ยังไม่จำเป็นต้องกังวลถึงข้อแตกต่างของฮาร์ดแวร์ เพราะนักพัฒนาสามารถพัฒนาแอปพลิเคชันเพียงครั้งเดียวแต่รองรับการทำงานร่วมกับทุกอุปกรณ์นอกจากนี้ระบบ Deterministic Latency Engine ยังช่วยลดปัญหาระบบค้างจากการจัดสรรทรัพยากรอย่างไม่เหมาะสมในทุกระดับของซอฟต์แวร์ได้ ช่วยให้ EMUI 10 มีความเสถียรตลอดเวลา
นอกจากนี้สมาร์ทโฟนที่ติดตั้ง EMUI 10 ก็จะมีประสิทธิภาพของการใช้งานแอปพลิเคชันที่ดีขึ้น 60%, ใช้งานได้ลื่นไหลไม่หน่วงยาวนานกว่า 18 เดือน, ระบบไฟล์ EROFS ที่อ่านข้อมูลได้เร็วขึ้น 20%, GPU Turbo ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น 60%, เทคโนโลยี Turbo Link ที่เร็วกว่าการใช้เครือข่าย 4G LTE แต่เพียงอย่างเดียว 70% และอีกหลายๆ สิ่ง ซึ่งก็นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่งาน HDC.2019 ครั้งนี้ทีมงาน thaimobilecenter ของเราได้ร่วมทดลองใช้งานสมาร์ทโฟนที่ติดตั้ง EMUI 10 รุ่นทดสอบ ในระยะเวลาๆ สั้นแล้วด้วยเช่นกัน
      ข้อมูลจาก www.thaimobilecenter.com

การวัดที่ดินด้วยมือถือ ทำเองง่ายๆ โดยใช้สมาร์ทโฟน

สำหรับเรื่องราวนี้ เราจะมาแนะนำเคล็ดลับการวัดขนาดที่ดินด้วยตัวเองแบบง่ายๆ ไม่ต้องไปเสียเงินจ้างรังวัด โดยใช้สมาร์ทโฟน บอกเลยว่าเป็นวิธีที่ง่ายมากๆ ที่สำคัญแม่นยำ และ เชื่อถือได้ เพราะอ้างอิงโดยใช้ GPS

เริ่มต้นให้เราไปโหลดแอพที่ชื่อว่า Ling วัดที่ดินมาก่อน

เมื่อเราเข้ามาในแอพ จะขึ้นหน้าจอแผนที่ซึ่งสามารถ ซูมเข้า-ออก ได้เหมือนปกติ

ต่อมา ให้เราเสริชหาตำแหน่งที่เราต้องการวัด อย่างเช่น ในตัวอย่างต้องการวัดขนาดที่ดิน สวนลุม

เริ่มต้น ให้เรานำลูกศรตรงกลางหน้าจอไปไว้ตรงหัวมุมของที่ดินก่อน แล้วกดเครื่องหมายบวก จะขึ้นตัวเลขในแต่ละหลักเขตขึ้นมา แล้วค่อยๆเลื่อนไปที่หัวมุมต่อๆไป

เมื่อวางครบทุกมุมแล้วก็จะขึ้นบอกว่าที่ดินผืนนี้ขนาดเท่าไร ซึ่งเป็นการวัดโดยการคำนวนจากพิกัด GPS ซึ่งแม่นยำ และ เชื่อถือได้ เมื่อวัดเสร็จแล้วเราสามารถ ตั้งชื่อ บันทึก และ เซฟเก็บไว้ในเครื่อง หรือ จะแชร์ให้เพื่อน ให้ลูกค้าที่สนใจซื้อดูข้อมูลที่ดินนี้ก็ได้ นับว่าเป็นอีกเครื่องมือที่เพิ่มความสะดวกสบายให้เราอย่างมาก

 

ที่มา-kasetnana

วิธีลง Windows 11 เวอร์ชั่นล่าสุด ติดตั้งเองผ่าน USB Flash Drive

วิธีลง Windows 11 เวอร์ชั่นล่าสุด ทั้งดาวน์โหลดจากเว็บ Microsoft โดยตรง และติดตั้งเองผ่าน USB Flash Drive

หลังจากที่ Microsoft ได้ทำการปล่อย Windows 11 ตัว Official ออกมาเป็นที่เรียบร้อยเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2021 ที่ผ่านมา ทำให้ผู้ใช้งานทั่วโลกสามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้ฟรี ผ่าน Windows 10 เดิม หรือนำไฟล์ที่ดาวน์โหลดจากเว็บ Microsoft

โดยตรงไปติดตั้งใช้งานกันเองก็ได้ ซึ่งสามารถลงได้ทั้งในแบบเวอร์ชันใช้งานฟรี (แบบเดียวกับ Windows 10) หรือติดตั้งก่อนเพื่อนำ CD-Key แท้มา Activate ทีหลังก็ทำได้เช่นกันครับ

วิธีลง/อัปเกรดเป็น WINDOWS 11 หลัก ๆ มีทั้งหมด 4 แบบคือ

  • อัปเกรดจาก Windows 10 ผ่าน Windows Update
  • อัปเกรดจาก Windows 10 ผ่านโปรแกรม Windows 11 Installation Assistant
  • ลงและติดตั้งใหม่ผ่าน USB แฟลชไดรฟ์
  • ลงและติดตั้งใหม่หรืออัปเกรดโดยใช้ไฟล์ ISO

วิธีที่ 1 : อัปเกรดจาก WINDOWS 10 ผ่าน WINDOWS UPDATE

สำหรับคอมใครที่เป็น Windows 10 อยู่แล้ว และเครื่องผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำตามที่ Microsoft กำหนด สามารถเข้าไปกดอัปเดตเป็น Windows 11 ได้เลยทันทีผ่านหน้า Windows Update ที่อยู่ในการตั้งค่าของเครื่อง โดยขั้นตอนจะมีดังนี้นะครับ

  • เข้าไปที่ All Settings โดยพิมพ์ที่ช่องค้นหาหรือเข้าผ่านหน้าจอการแจ้งเตือนด้านล่างขวาก็ได้

  • กดที่ Update & Security

  • สำหรับเครื่องที่รองรับและพร้อมดาวน์โหลดแล้ว จะมีหน้าต่างแบบนี้ขึ้นมา สามารถกด Download and install ได้เลยครับ

  • สำหรับเครื่องที่รองรับแต่ยังไม่ขึ้น ซึ่งจะขึ้นเป็นหน้าด้านล่างนี้แทน หมายถึงต้องรอให้ทาง Microsoft ทยอยปล่อยอัปเดตเพิ่มเติมให้ก่อน ถึงจะอัปเกรดได้ตามปกติครับ

วิธีที่ 2 : อัปเกรดจาก WINDOWS 10 ผ่านโปรแกรม INSTALLATION ASSISTANT

วิธีนี้เหมาะสำหรับคนไม่อยากรอ เนื่องจากบางเครื่อง Microsoft ยังไม่ปล่อยตัวอัปเกรดให้บนหน้า Windows Updates สามารถไปใช้เครื่องมืออัปเกรดแทน ซึ่งอัปได้เลยทันที โดยโหลดผ่านหน้าเว็บ Microsoft โดยตรงเลยครับ

  • แล้วกดที่ Download Now ในหมวด Windows 11 Installation Assistant จะได้ไฟล์ชื่อ Windows11InstallationAssistant.exe ขึ้นมา จากนั้นเปิดไฟล์เพื่อทำการติดตั้ง

 

  • กด Accept and Install

  • รอโปรแกรมดาวน์โหลดจนครบทั้ง 3 Step ในระหว่างที่รอแนะนำให้เซฟงานต่าง ๆ ที่ยังทำค้างอยู่ไว้ก่อนนะครับ

  • สุดท้ายหากต้องการอัปเกรดทันทีให้กด Restart Now หรือหากต้องการอัปทีหลัง ให้กดเป็น Restart Later ก่อนได้ ซึ่งหากไม่กดภายใน 30 นาที โปรแกรมจะ Restart และอัปเกรดเป็น Windows 11 ให้ทันทีครับ

วิธีที่ 3 : ลงและติดตั้งใหม่ผ่าน USB แฟลชไดรฟ์

สำหรับวิธีการลงผ่าน USB Flash Drive คือวิธีที่ค่อนข้างแนะนำหากต้องการลง Windows 11 ใหม่ทั้งเครื่อง เพราะมีข้อดีกว่าการอัปเกรดจาก Windows 10 ตรงที่ไฟล์ขยะหรือ Cache ต่าง ๆ ที่เคยสะสมไว้จาก Windows เดิมจะไม่ตามมาด้วย ซึ่งจะช่วยให้ได้พื้นที่ที่เสียเปล่าบางส่วนกลับมาอีกหลาย GB เลยทีเดียว

แต่หากใครยังต้องการไฟล์เดิมอยู่ แนะนำให้ Backup ข้อมูลทั้งเครื่องเก็บไว้ที่อื่นก่อนนะครับ เพราะข้อมูลในไดรฟ์ที่ลงจะโดนล้างไปด้วยทั้งหมด ดังนั้นมาดูขั้นตอนการลงผ่านแฟลชไดรฟ์แบบ Clean Install นี้ว่าทำยังไงบ้าง

สิ่งที่ต้องใช้
  • แฟลชไดรฟ์เปล่าขนาดอย่างน้อย 8GB (แนะนำเป็นแบบ USB 3.0)
  • คอม หรือ โน้ตบุ๊ค
  • บัญชี Microsoft (Outlook หรือ Hotmail)
  • อินเทอร์เน็ต (เนื่องจาก Windows 11 จะบังคับให้ต่ออินเทอร์เน็ตทุกครั้งที่ลงใหม่ ควรเตรียมเป็นสายแลนเผื่อไว้ เพราะบางเครื่องอาจไม่มีไดรเวอร์ WiFi ในตัว)
ขั้นตอนติดตั้งตัวลง WINDOWS 11 ลง USB FLASH DRIVE

  • แล้วกดที่ Download Now ในหมวด Create Windows 11 Installation Media จะได้ไฟล์ MediaCreationW11.exe มา แล้วเปิดไฟล์เพื่อทำการติดตั้ง

  • ต่อมากด Accept แล้วกด Next ในหน้านี้แนะนำให้กดติ๊กเลือก Use the recommended… จากนั้นกด Next อีกครั้ง

  • กดเลือกเมนู USB flash drive แล้วกด Next
  • จากนั้นดูว่าชื่อแฟลชไดรฟ์ที่ขึ้นใช่อันที่เสียบไว้ตอนแรกหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ให้เลือกเป็นไดรฟ์ที่มีชื่อ USB ที่จะใช้ลง แล้วกด Next เพื่อติดตั้ง
  • รอจน Progress จนเสร็จ (ใช้เวลาค่อนข้างนาน ขึ้นอยู่กับความเร็วเน็ตและแฟลชไดรฟ์ของเราด้วยครับ)
  • กด Finish เป็นอันเสร็จ เพียงเท่านี้เราก็ได้จะแฟลชไดรฟ์ที่เป็นตัวติดตั้ง Windows 11 เรียบร้อยแล้วครับ

ขั้นตอนการติดตั้ง WINDOWS 11 บนคอมจาก USB FLASH DRIVE

  • เสียบแฟลชไดรฟ์เข้าสู่คอมหรือโน้ตบุ๊คที่ต้องการจะลง

  • จากนั้นกด ปิด-เปิด เครื่องใหม่ หรือรีสตาร์ท แล้วกดเข้า Boot Option หรือเข้าหน้า Bios แล้วเซ็ตให้บูทผ่านแฟลชไดรฟ์
    – Boot Option แต่ละเครื่องกดไม่เหมือนกัน (กด F8, F9, F10,F11 หรือ F12)
    – Bios แต่ละเครื่องกดไม่เหมือนกัน (กด F2, F10, Delete หรือ ESC)

  • พอบูทผ่านแฟลชไดรฟ์ได้แล้วก็จะเข้าสู่หน้าติดตั้ง ในหน้าแรกแนะนำให้ติดตั้งเป็นภาษาอังกฤษ เลือก Time and currency format เป็น Thai (Thailand) แล้วกด Next จากนั้นก็กด Install Now
  • ติ๊ก I accepted the Microsoft Software License Terms จากนั้นกด Next (กรณีขึ้นหน้าให้ใส่คีย์ถ้ามีคีย์ก็ใส่ตรงนี้ได้เลย หรือหากไม่มีก็กด I don’t have a product key)

  • ถัดมาเลือก Custom: Install Windows only (advanced)

  • พอมาถึงหน้านี้ให้เลือกไดรฟ์ที่เราต้องการจะลง Windows  (หากมีหลายอันให้หาอันที่มีความจุเยอะ ๆ ตามขนาดของพื้นที่ไดรฟ์ที่เราจะลง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไดรฟ์ C ที่มี 100GB ขึ้นไป) จากนั้นกด Format ไดรฟ์ให้เรียบร้อยก่อน กดเลือก แล้วค่อยกด Next
  • ตัวเครื่องก็ทำการติดตั้ง ซึ่งขั้นตอนนี้จะใช้เวลานานสักพัก
  • หลังจากติดตั้งเสร็จแล้ว ก็สามารถถอดแฟลชไดรฟ์ออกได้เลย แล้วเครื่องจะรีสตาร์ทให้อัตโนมัติเพื่อไปที่หน้า Boot Windows 11 ใหม่ที่เราเพิ่งลงเสร็จไป

  • พอขึ้นหน้านี้แล้วหลังจากทำการ Boot ใหม่ก็แสดงว่าคอมเครื่องนี้ลง Windows 11 ได้เรียบร้อยสมบูรณ์แล้วครับ ที่เหลือจะเป็นการตั้งค่า Set Up ต่าง ๆ ครั้งแรกเพื่อให้ใช้งานได้ต่อไป ในหน้า country or region นี้ให้เลือกเป็น Thailand แล้วกด Yes

  • ให้กดเลือกแป้นพิมพ์เป็น US แล้วกด Yes

  • เลือกเพิ่มแป้นพิมพ์ที่ 2 โดยกดที่ Add Layout

  • จะมีหน้าให้เลือกแป้นอีกครั้ง เลือก Thai (Thailand) กด Next แล้วเลือกเป็น Thai Kedmanee จากนั้นกด Add Layout

  • เครื่องที่ลง Windows 11 จะโดนบังคับให้ต่อเน็ตทุกครั้งที่ลงใหม่ (บางเครื่องหากไม่มีไดรเวอร์ WiFi ในตัว จำเป็นต้องหาเน็ตสายแลนไว้เผื่อด้วยนะครับ) จากนั้นกด Next

  • เครื่องจะให้ตั้งชื่อคอม ให้กรอกชื่อตามที่เราต้องการ แล้วกด Next (หรือหากอยากตั้งทีหลัง ให้กด Skip for now) เครื่องจะรีสตาร์ทใหม่ 1 รอบ

  • Windows 11 จะบังคับให้เราต้องล็อกอินด้วยบัญชี Microsoft ด้วยทุกครั้งที่ลงใหม่ โดยใช้เป็น Outlook หรือ Hotmail ก็ได้ จากนั้นกด Next

  • แล้วก็บังคับให้ตั้งค่า PIN ไว้ด้วย อย่างน้อย 4 หลัก จากนั้นกด OK
  • หน้า Choose privacy… ให้เลือก Next และ Accept
  • หน้า Let’s customize… จะเลือกเองตามใจชอบก็ได้ หรือแนะนำให้กด Skip ไปก่อน

  • หน้า Back up OneDrive แนะนำให้เลือก Don’t backup my files ไปก่อน จากนั้นกด Next
  • หน้า Microsoft 365 แนะนำให้กด No, Thanks

  • สุดท้ายพอเสร็จสิ้นทุกขั้นตอนแล้ว เครื่องก็จะเข้าสู่หน้า Desktop

  • แนะนำให้เข้าไปที่ Start -> Settings -> Windows Update เพื่อเข้าไปอัปเดตไดรเวอร์ของเครื่อง โดยกดที่ Download now และรอโหลดติดตั้งให้เรียบร้อย เป็นอันใช้งาน Windows 11 ได้แล้วครับ

วิธีที่ 4 : ลงและติดตั้งใหม่หรืออัปเกรดโดยใช้ไฟล์ ISO

สำหรับวิธีสุดท้ายจะคล้าย ๆ กับวิธีที่ 3 คือเป็นการตั้ง Boot ไฟล์ติดตั้ง Windows 11 ผ่าน USB แฟลชไดรฟ์ ซึ่งวิธีที่ 3 จำเป็นต้องดาวน์โหลดและติดตั้งผ่านแฟลชไดรฟ์ทันที แต่หากใช้ไฟล์ ISO จะเป็นการดาวน์โหลดไฟล์เต็มที่ใช้ติดตั้งลงมาก่อน แล้วสามารถเอามาลงใน USB แฟลชไดรฟ์เองทีหลังได้ ซึ่งจะสะดวกกว่าสำหรับคนที่ต้องการตั้งค่า Boot แบบออฟไลน์ (แต่ขั้นตอนระหว่างลงก็ยังต้องใช้เน็ตอยู่ดีนะ) ดังนั้นในวิธีนี้ก็จะมาแนะนำการตั้งค่าตัว Boot Windows 11 บนแฟลชไดรฟ์ผ่านไฟล์ ISO โดยใช้โปรแกรม Rufus กันครับ

สิ่งที่ต้องใช้

  • แฟลชไดรฟ์เปล่าขนาดอย่างน้อย 8GB (แนะนำเป็นแบบ USB 3.0)
  • คอม หรือ โน้ตบุ๊ค
  • อินเทอร์เน็ต
  • โปรแกรม Rufus

ขั้นตอนการเตรียมและติดตั้ง

  • แล้วกดที่ Download Now ในหมวด Download Windows 11 Disk Image (ISO) เลือก Select Download เป็น Windows 11 และเลือก Select the product language แนะนำให้เป็น English จากนั้นกด Confirm และกด 64-bit Download จะได้ไฟล์ Win11_English_x64.iso ขึ้นมา ขนาดประมาณ 5.1 GB ครับ

  • ดาวน์โหลดโปรแกรม Rufus จากเว็บไซต์ : https://rufus.ie/en
  • เสียบแฟลชไดรฟ์เข้าที่ช่อง USB
  • เปิดโปรแกรมขึ้นมา (เป็นโปรแกรมเล็ก สามารถเปิดได้ทันทีโดยไม่ต้องติดตั้ง)

  • ตรวจสอบว่าในหมวด Device เป็นชื่อแฟลชไดรฟ์ที่เราจะใช้ลงหรือยัง หากยังให้เลือกเปลี่ยนเป็นตัวที่ต้องการ
  • กด SELECT เลือกหาไฟล์ ISO ที่เราดาวน์โหลดไว้ก่อนหน้านี้ กด Open เสร็จแล้วกดปุ่ม Start

  • กด OK เพื่อยืนยันว่าจะทำการล้างแฟลชไดรฟ์อันนี้เพื่อใช้สร้างตัวติดตั้ง (หากใครไม่ต้องการล้างไฟล์ในไดรฟ์ ต้อง Backup ข้อมูลไว้ที่อื่นก่อน)
  • โปรแกรมก็จะเริ่มสร้างตัว Boot Windows 11 ไว้ในแฟลชไดรฟ์ ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที ตามความเร็วของเครื่อง
  • ตัว Boot แฟลชไดรฟ์ที่สร้างเสร็จแล้วก็จะหน้าตาเหมือนกับที่สร้างโดยใช้วิธีที่ 3 เป๊ะ ๆ สามารถนำไปใช้ลง Windows 11 แบบ Clean Install ได้โดยใช้ขั้นตอนแบบเดียวกับวิธีที่ 3 ได้เลยครับ

วิธีอัปเกรดจาก WINDOWS 10 โดยใช้ไฟล์ ISO

ไฟล์ ISO ที่ดาวน์โหลดมานี้ นอกจากจะใช้สร้าง Boot บนตัวแฟลชไดรฟ์แล้ว ยังสามารถใช้อัปเกรดจาก Windows 10 เป็น Windows 11 ได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์เพิ่มได้เลยเช่นกัน โดยมีขั้นตอนที่ง่ายมาก ๆ ดังนี้ครับ

  • เปิดตัวไฟล์ ISO ที่ดาวน์โหลดขึ้นมา โดยใช้วิธีดับเบิลคลิกเพื่อเปิด หรือคลิกขวา เลือก Mount ก็ได้

  • จากนั้นไฟล์ ISO จะทำการ Mount ตัวเองขึ้นไปเป็นไดรฟ์ใหม่อีกอันหนึ่ง เสมือนการจำลองตัวเองเป็น DVD Drive ให้เข้าไปที่ไดรฟ์ดังกล่าว สามารถกดเปิดไฟล์ข้างในที่ชื่อ setup.exe เพื่ออัปเกรดเป็น Windows 11 ได้จากหน้านี้เลย

  • จะมีหน้าต่างขึ้นมา ให้กด Next และกด Accept จากนั้นรอให้โปรแกรมตรวจสอบเครื่องของเราสักครู่

  • ตัวโปรแกรมจะเลือกค่า Default ในการอัปเกรดเป็น Windows 11 ให้ตามรุ่นเดียวกับ Windows 10 ที่ลงไว้ (เช่น รุ่น Home ก็จะเลือกอัปเป็น Windows 11 Home) และจะเลือกเก็บไฟล์และโปรแกรมทุกอย่างให้เหมือนเดิม แต่หากต้องการตั้งค่าการเก็บไฟล์เป็นแบบอื่น สามารถเลือก Change what to keep เพื่อเลือกเก็บเฉพาะบางส่วนหรือไม่เก็บเลยก็ได้ เสร็จแล้วกด Install เป็นการเริ่มอัปเกรด ซึ่งจะใช้เวลาราว 20-30 นาที ขึ้นอยู่กับความเร็วของเครื่องครับ

เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับวิธีการลง Windows 11 บอกเลยว่ารอบนี้ตั้งใจทำมาละเอียดมาก ๆ เพื่อให้ทุกคนสามารถลองนำไปทำตามกันเองที่บ้านได้ง่าย ๆ สำหรับคนที่ใช้ Windows 10 คีย์แท้หรือมีคีย์มากับเครื่องอยู่แล้ว ก็สามารถใช้งาน Windows 11 ได้ต่อกันแบบยาว ๆ แต่หากใครใช้วิธีผ่านแฟลชไดรฟ์บนเครื่องเปล่าที่ยังไม่มีคีย์แท้ ก็สามารถใช้งานได้ฟรีเช่นกัน เพียงแต่จะโดนจำกัดฟังก์ชันการทำงานบางอย่างออกไปบ้าง

และหากเราต้องการใช้งานเวอร์ชันเต็มทีหลัง ต้องรอทาง Microsoft ออกตัว Official License แบบกล่องหรือ CD-Key มาวางขายก่อน เพื่อนำมา Activate และใช้งานเต็มรูปแบบจากตัวเดิมได้ทันที ซึ่งราคาจากตัวแทนจำหน่ายน่าจะอยู่ราว ๆ 3,000 บาท แบบเดียวกับ Windows 10 ยังไงแล้วก็แนะนำให้สนับสนุนของแท้กันเยอะ ๆ ด้วยนะครับ

 

ที่มา-droidsans

MSI เปิดตัวโน้ตบุ๊คเกมมิ่งซีรีส์ใหม่ Delta 15 ปี 2021 สเปค AMD ล้วนแรงระดับท็อป !

🏮 MSI เปิดตัวโน้ตบุ๊คเกมมิ่งซีรีส์ใหม่ Delta 15 ปี 2021 สเปค AMD ล้วนแรงระดับท็อป !

หลังจากที่หลายแบรนด์เปิดตัวโน้ตบุ๊ค AMD Advantage Edition รุ่นท็อปๆ กันไปหลายรุ่น คราวนี้มาถึงฝังแบรนด์ MSI กันบ้างที่คราวนี้เปิดตัวซีรีส์ใหม่ล่าสุดอย่าง Delta 15 ซึ่งปรับเปลี่ยนดีไซน์จาก Alpha และ Bravo ใหม่หมด ออกแบบมาให้ดูมินิมอลมากยิ่งขึ้น ผสมผสานทั้งความเป็นเกมมิ่งและโน้ตบุ๊คสายทำงานได้อย่างลงตัว คล้ายๆ กับตระกูล GS

ดีไซน์คีย์บอร์ดจะให้มาเป็นแบบไซส์มาตรฐาน ปุ่มขนาดใหญ่ มีไฟ RGB Full Zone ไม่มี Numpad พร้อมกล้อง Webcam 720p ตรงกลางจอและไมโครโฟน ใช้งานวิดีโอคอลได้เลยสบายๆ โดยไม่ต้องไปซื้ออุปกรณ์เพิ่ม

⭐ จุดเด่นหลักๆ ของ MSI Delta 15 ปี 2021

  • ดีไซน์สวยไม่ดูเป็นเกมมิ่งจนเกินไปและวัสดุบอดี้ภายนอกเป็นอลูมิเนียมทั้งหมด
  • สเปคแรงเล่นได้ทุกเกมบนโลก ไม่ต้องอัปเกรดอะไรเพิ่ม
  • ระบบระบายความร้อน Cooler Boost 5 ฮีทไปป์ 6 เส้น พัดลม 2 ตัว ช่องเปล่าลมออก 3 ช่อง (ท่อฮีทไปป์ดีไซน์ใหม่บางกว่าเดิม)
  • น้ำหนักเบาเพียง 1.9 กิโล พกพาสะดวก
  • แบตอึดเคลมว่าใช้งานได้นานถึง 12 ชั่วโมง
  • หน้าจอ 240Hz ขอบเขตสี 100% sRGB
  • ระบบเสียง 3D ของ Nahimic by steelseries
  • รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6E
  • รองรับเทคโนโลยีใหม่ของ AMD ทั้ง SmartShift, Smart Access Memort, FidelityFX และ Image Sharpening

💻 สเปคเบื้องต้น DELTA 15 AMD ADVANTAGE EDITION

  •  AMD Ryzen 9 5900HX (8C/16T)
  • AMD Radeon RX 6700M 10GB GDDR6
  • RAM 16GB DDR4 bus 3200
  • SSD m.2 PCIe 1TB
  • หน้าจอ 15.6″ Full HD IPS 240Hz 100% sRGB
  • Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.2
  • แบต 82 Wh
  • น้ำหนัก 1.9 kg
  • Windows 10 Home

ทางด้านพอร์ตเชื่อมต่อคือจะมี USB-C 3.2 x1 รองรับ DP, USB-A 3.2 x2, HDMI, MicroSD Card Reader และ Headset 3.5mm แอบเสียดายนิดนึงที่ไม่มีช่อง LAN มาให้

เพิ่มเติม

ความแรง RX 6700M (TGP 135W) เฉลี่ยแรงกว่า RTX 3060 (TGP 130W) ราว 6.89% ครับ อ้างอิงจาก Jarrod’sTech

ดูผลทดสอบได้ที่

จริงๆ ยังมีรุ่น RAM 32GB ด้วย สเปคอื่นๆ เหมือนกันหมด ราคาอยู่ที่ 62,990 บาทครับ

ที่มา : https://th.msi.com/Laptop/Delta-15-A5EX/Overview
https://www.facebook.com/MSIGamingThailand/posts/4547490915289836

ป.ล. ชอบดีไซน์แบบนี้นะ สวยดี เบาด้วย ติดนิดเดียวที่รุ่นนี้ไม่สามารถชาร์จ USB-C PD ได้ ถ้าได้นี่คือแจ่มเลยนะ พกอะแดปเตอร์ชาร์จอันเล็กเวลาไปไหนมาไหนจะสะดวกมากๆ อะแดปเตอร์ใหญ่ไว้บ้านเวลาเล่นเกม
———————————————-

ที่มา- คอมคร้าบ

5 วิธีง่ายๆ แก้คอมช้า ด้วยตัวเอง คอมฯ ช้าเองแบบที่เราไม่รู้สาเหตุ

เชื่อว่าหลายๆคนที่ทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ (Windows) อาจจะเคยพบปัญหา คอมฯ ช้าเองแบบที่เราไม่รู้สาเหตุ แล้วต้องมานั่งทุกข์ทรมาน เพราะทำอะไรไม่ได้ ปิดเครื่องก็แล้ว รีสตาร์ทก็แล้ว ถ้าเอาไปล้างน้ำได้คงทำไปแล้ว (ไม่แนะนำนะครับ) แล้วยิ่งสถานการณ์ Work Form Home แบบนี้ จะไปให้แผนกไอทีทำให้ก็ไม่ได้อี๊กกกก

วันนี้ ลองเอาวิธี 5 แก้ไขคอมพิวเตอร์ช้าเอง เบื้องต้น มาแนะนำครับ เป็นการเช็คและแก้ไขเบื้องต้น ไม่ยากเกินไปแน่นอน

1. เช็คการอัพเดต Windows ของเราบ้าง

เชื่อว่าหลายๆคนเคยเจอเหตุการณ์เปิดเครื่องมาแล้วช้าเฉยเลย ทั้งๆที่ก่อนหน้ายังดีๆอยู่ อย่าเพิ่งตกใจครับ ลองตรวจสอบการอัพเดตซอร์ฟแวร์ Windows ดูก่อนครับ

เข้าไปที่ Settings > Update & Security > Windows Update ถ้าขึ้นหน้าจอให้อัพเดต ตามรูปนี้ ให้ลองกดอัพเดตเลยครับ แล้วหลังจากนั้น ปล่อยเครื่องทิ้งไว้จนกว่าจะอัพเดตเสร็จ ระหว่างนี้ไม่แนะนำให้ทำงานหรือเข้าโปรแกรมต่างๆนะครับ อย่าลืมถ้าใช้ Notebook แนะนำให้ชาร์จแบตด้วยนะครับ

นอกจากการอัพเดต Windows แล้ว โปรแกรมอื่นๆเช่น การ์ดจอ ก็สำคัญ แนะนำให้อัพเดตบ่อยๆครับ

2. อะไรไม่จำเป็นก็ลบทิ้งไปซะ!
ลองลบโปรแกรมเหล่านั้นไปซะ โดย แนะนำให้ใช้โปรแกรมอย่าง CCleaner ครับ โหลดมาเล้ย พร้อมกับเปิดโปรแกรม แล้วไปที่ Tools จากนั้นดูซิว่ามีโปรแกรมไหนบ้างที่เราไม่เคยเปิด ใช้งานเลยบ้าง จากนั้นกด Uninstall เลยครับ ปล. แนะนำว่าอย่าไปยุ่งกับโปรแกรมจำเป็นของเครื่องอย่าง Microsoft ต่างๆครับ

3. ปิดโปรแกรมที่เปิดอัตโนมัติ เมื่อเริ่มเปิดเครื่อง ในขณะที่เราเปิดเครื่อง เพื่อนๆ คงเคยเจอกับบรรดาโปรแกรมต่างๆ ที่ดาหน้าออกมาต้อนเรารับ จนทำให้บางครั้ง เครื่องก็ไม่พร้อมใช้งานทันทีที่เปิด ต้องรอให้โปรแกรมเจ้ากรรมเหล่านั้นรันไม่เสร็จก่อน บ้างก็เป็นโปรแกรมที่เราใช้อันนี้ปล่อยไป

แต่บางโปรแกรม เราไม่ได้ใช้งานขณะนั้น หรือไม่ได้ใช้งานตลอด แต่ยังจำเป็นต้องมีติดเครื่องไว้ กรณีนี้ แนะนำให้ไปปิดการเปิดโปรแกรม ที่หน้า Starup ครับ โดยเปิด Task Manager แล้วไปที่หน้าต่าง Starup แล้วดูว่าโปรแกรมไหนยังไม่จำเป็น ก็ไปที่ช่อง Status แล้วเปลี่ยนจาก Enable เป็น Disabled

4. ปิด Disk Defragmenter
Disk Defragmenter เป็นชื่อที่หลายๆคนอาจจะไม่คุ้ม เอาสั้นๆ “มันคือระบบจัดการไฟล์ต่างๆเบื้องหลัง” โดยไม่ได้บอกเรา ก็ดีนะคอยดูแลเราแบบเราไม่ได้ร้องขอ เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อนเลย ไอ้ขั้นตอนนี้แหละครับ ทำให้เครื่องเราช้า เพราะขณะทำการจัดเรียงไฟล์ ก็ต้องใช้ทรัพยากรเครื่อง แล้วถ้าดันมาเกิดตอนเราทำงานละ ก็โป๊ะเช๊ะ ช้าเป็นเต่าคลาน ดังนั้น เราควรปิดฟังก์ชั่นนี้ไปก่อน แล้วค่อยไปจัดการไฟล์ตอนที่เราไม่ได้ใช้เครื่อง ด้วยตัวเองจะดีกว่า

ขั้นตอนดังนี้

This PC > เลือกไดร์ฟที่ต้องการ คลิ๊กขวา > Properties > Tools > Optimize and defragment drive
> Optimize > Change settings > ติ๊ก Run on a schedule ออก > OK

จากนั้น เครื่องเราจะไม่ทำการจัดการไฟล์ให้เราแบบอัตโนมัติแล้วครับ

5. เคลียร์ไฟล์ขยะ และ จัดการไฟล์ ให้เป็นระบบ
หัวข้อนี้ ถ้าทำทุกข้อมาถึงนี่แล้ว เรียกได้ว่าง่ายเหมือนธานอสดีดนิ้วแล้วแหละครับ โดยเราจะทำด้วยกัน 2 วิธีคือ เคลียร์ไฟล์ขยะ และ ทำการจัดเรียงไฟล์ให้เป็นระเบียบ เวลาระบบรันจะได้มีความรวดเร็ว

1. เคลียร์ไฟล์ขยะ เราจะให้โปรแกรม CCleaner เจ้าเก่าที่ใช้ลบโปรแกรมนั่นเอง ทำได้ง่ายๆดังนี้
เปิดโปรแกรม >> Custom Clean >> Analyze >> รอสักครู่ >>Run Cleaner
สักเกตุดีๆ จะเห็นจำนวนไฟล์ขยะที่โปรแกรมทำการลบไป ถ้าใครไม่เคยเคลียร์ขยะเลย เผลอเป็น 10GB เลยครับ
อ้อ แล้วก็แนะนำให้ให้ปิดโปรแกรมอื่นๆ ขณะทำการลบขยะด้วยครับ

2. Disk Defragmenter ***ใช้ SSD ไม่แนะนำทำขั้นตอนนี้
จากข้อ 4 Disk Defragmenter ที่บอกไปแล้วจะช่วยจัดการไฟล์ ดังนั้น เราก็ควรจัดระเบียบไฟล์ในเครื่องบ้าง ทำง่ายๆดังนี้ครับ This PC > เลือกไดร์ฟที่ต้องการ คลิ๊กขวา >> Properties >> Tools >> Optimize and defragment drive >> Optimize >> Optimize จากนั้น ก็รอให้เสร็จ และเช่นเคยไม่แนะนำให้ใช้งานคอมพิวเตอร์เช่นเดิมครับ

นี่แหละครับ คือ 5 วิธี เบื้องต้นง่ายๆ ในการทำให้คอมพิวเตอร์ของเรา กลับมาเร็วเหมือนเดิม (ย้ำว่าเร็วเหมือนเดิมนะครับ ไม่ใช้เร็วกว่าเดิม)

 

ที่มา-BaNANA

เกษตรกรชัยนาท ใช้ กล้วยน้ำว้า เลี้ยงปลาลดต้นทุน ตัวโต เนื้อหวาน ขายได้ราคา

อาชีพประมง” เป็นอาชีพที่จับสัตว์น้ำหรือเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การทำประมงนั้นสามารถทำได้ทั้งในน้ำจืดและน้ำเค็ม ซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกอาชีพของคนไทยที่สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศได้อย่างมหาศาล อาชีพประมงจะมีมากบริเวณภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการทำประมงน้ำเค็ม ส่วนการทำประมงน้ำจืดนั้นจะมีอยู่ทั่วไปตามพื้นที่ที่มีแม่น้ำไหลผ่าน ซึ่งจะพบมากบริเวณริมฝังแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำสายสำคัญของคนไทยที่ไหลผ่านหลายจังหวัดด้วยกัน การทำประมงน้ำจืดส่วนมากที่พบบริเวณริมฝังแม่น้ำเจ้าพระยาจะเป็นการเพาะเลี้ยงปลาในกระชังเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งปลาที่เพาะเลี้ยงก็จะเป็นปลาเศรษฐกิจของไทย อย่างเช่น ปลานิล ปลาทับทิม ปลาดุกบิ๊กอุย ฯลฯ

คุณพะเยาว์และคุณประมวล รุ่งทอง สองสามีภรรยา อยู่บ้านเลขที่ 70 หมู่ที่ 4 ตำบลท่าชัย อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท เป็นเกษตรกรที่อาศัยอยู่บริเวณริมฝังแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งสองเป็นเกษตรหัวไวใจสู้พร้อมที่จะเปิดรับความรู้ใหม่ๆ กล้าที่จะทดลองและรับแนวทางการส่งเสริมพัฒนาอาชีพที่เกี่ยวกับการเกษตร ปัจจุบันทั้งสองมีอาชีพเพาะเลี้ยงปลาในกระชังบริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา

คุณประมวล (ภรรยา) เล่าให้ฟังว่า เดิมทีตัวเองมีอาชีพตัดเย็บเสื้อผ้าในหมู่บ้าน ส่วนคุณพะเยาว์(สามี)นั้นมีอาชีพเพาะเลี้ยงปลาในกระชังบริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ด้วยอาชีพการเพาะเลี้ยงปลาในกระชังที่สามีทำอยู่นั้น ทุกวันยิ่งทำก็เริ่มแย่ลงๆ มีกำไรน้อย ขาดทุนบ้าง ได้กำไรบ้าง เพราะการเพาะเลี้ยงปลาในกระชังต้องใช้คนในการดูแลพอสมควร ลำพังจะให้สามีทำและดูแลคนเดียวก็ไม่ไหว ทำให้ตัวเองต้องตัดสินใจเลิกตัดเย็บเสื้อผ้าและหันมาช่วยสามีเพาะเลี้ยงปลาในกระชังเพียงอย่างเดียว

คุณประมวล เล่าให้ฟังอีกว่า ตนเองและสามีเริ่มเพาะเลี้ยงปลาในกระชังมาตั้งแต่ปี 2542 เริ่มแรกมีกระชังทั้งหมด 10 กระชัง ปลาที่เพาะเลี้ยงจะมีหลากหลายชนิดด้วยกัน ทั้ง ปลาดุก ปลาสวาย ปลาทับทิม ฯลฯ ใช้เวลาลองผิดลองถูกในเรื่องของวิธีการเพาะเลี้ยงมาหลายรอบกว่าจะประสบความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงปลาในทุกวันนี้

ปัจจุบัน มีกระชังเพาะเลี้ยงปลาเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น 29 กระชัง โดยแบ่งออกเป็นปลากด ปลากดคัง ปลากดหลวง ปลาเบญจพรรณ และปลาทับทิม

“กล้วยน้ำว้า” เลี้ยงปลา
ตัวโต เนื้อหวาน ขายได้ราคา

สำหรับอาหารที่ใช้เลี้ยงปลานั้นจะเป็นอาหารเม็ดทั่วๆไป โดยจะให้วันละ 3 เวลา (เช้า กลางวัน เย็น ) บวกกับรำข้าวผสมกับกล้วยน้ำว้าสุกบด (เสริมเฉพาะปลานิล ส่วนปลากดหลวงจะหันเป็นชิ้นๆ ลักษณะกล้วยบวดชี) วันละ 1 เวลา ซึ่งเลือกในช่วงกลางวันเพราะช่วงนี้จะเป็นช่วงที่สะดวกที่สุดของผู้เพราะเลี้ยงที่จะมีเวลาเตรียมบดกล้วย ในช่วงเช้า (เช้า, กลางวัน, เย็น ตามความสะดวกของผู้เลี้ยง)

คุณประมวล เล่าให้ฟังว่า จุดเริ่มต้นของการนำกล้วยน้ำว้ามาเลี้ยงปลานั้น มาจากการเพาะเลี้ยงปลาในช่วงนั้น มีต้นทุนในการผลิตสูงในเรื่องของอาหาร ทำให้ไม่คุ้มต่อผลตอบแทนที่ได้มาในแต่ละครั้ง ทุกฟาร์มเกิดปัญหาเดียวกันหมด ทำให้ตนต้องหาหนทางลดต้นทุนการผลิตในเรื่องของอาหารลง จึงเกิดแนวคิดนำกล้วยมาเลี้ยงปลาขึ้น

จากแนวคิดที่คิดแบบชาวบ้านทั่วๆ ไปและจากประสบการณ์ที่เคยผ่านมาและเคยเห็นคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ที่ใช้กล้วยน้ำว้าบดผสมกับข้าวเลี้ยงเด็ก ก็ยังสามารถทำให้เด็กโตขึ้นมาได้ จึงได้ทดลองนำกล้วยน้ำว้าสุกมาบดผสมกับรำข้าวให้ปลากิน เริ่มแรกจะทดลงกับปลากรด ผลที่ได้เป็นที่น่าพอใจ ปลามีขนาดใหญ่ รสชาติของเนื้อหวาน ได้คุณภาพกว่าปลาที่ไม่ได้เลี้ยงด้วยกล้วย ที่สำคัญลดต้นทุนการผลิตในเรื่องของอาหาร

หลังจากที่เลี้ยงปลาด้วยกล้วยน้ำว้ามาได้ระยะหนึ่ง ก็เกิดเสียงตอบกลับมาจากผู้บริโภคว่าปลาในกระชังมีรสหวานและเนื้อแน่น ทำให้เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้น จากนั้นมาก็เริ่มนำกล้วยน้ำว้าสุกมาบดผสมกับรำข้าวผสมให้ปลาไปพร้อมกับอาหารเม็ด

ในช่วงแรกกล้วยน้ำว้าที่ใช้เลี้ยงจะหาชื้อตามตลาด ชื้อครั้งหนึ่งก็ประมาณ 100 – 200 หวี ราคาช่วงนั้นตกหวีละ 3 บาท ซึ่งเป็นช่วงที่กล้วยราคาถูก ต่อมาระยะหลังๆ กล้วยเริ่มมีราคมสูงขึ้นในบ้างช่วง ทำให้ต้นทุนของการผลิตในเรื่องของอาหารก็เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย

พื้นที่ 4 ไร่ ปลูกกล้วยน้ำว้า
เลี้ยงปลา ริมแม่น้ำ
ขณะที่ราคากล้วยน้ำว้าเริ่มสูงขึ้น ทำให้ต้องงดกล้วยที่ใช้เลี้ยงปลาไปในบางครั้ง ประกอบกับช่วงนั้นเองทางสำนักงานเกษตรจังหวัดชัยนาท มีโครงการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกผักสวนครัวและปลูกกล้วยน้ำว้า ตนเองจึงสนใจและเข้าร่วมโครงการ เพราะเห็นว่าไม่น่าจะเสียหายอะไร กลับมองว่าเป็นช่องทางที่จะช่วย ลดต้นทุนในการผลิตในเรื่องของอาหารอีกทางหนึ่ง เพราะนอกจากจะปลูกขายแล้วก็ยังสามารถนำมาเลี้ยงปลาได้อีกด้วย

“เริ่มปลูกกล้วยน้ำว้าในพื้นที่ 4 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ของพ่อและแม่ที่ทำสวนผสมผสานไว้จำนวนหนึ่ง ปัจจุบันนี้ภายในสวนพื้นที่ 4 ไร่ มีต้นกล้วยกว่าร้อยต้น สารเคมีหรือปุ๋ยที่ใช้ก็ได้จากการนำปลาที่ตายจากการขนย้ายหรือว่าตายขณะที่เลี้ยงมาหมักเป็นน้ำหมักชีวภาพ และนำไปราดในโคนต้นไม้ เป็นปุ๋ยอย่างดีที่ธรรมชาติต้องการ ส่งผลต่อผลผลิตมีขนาดใหญ่และมีจำนวนมากเพียงพอต่อการน้ำมาเลี้ยงปลาโดยที่ไม่ต้องหาชื้อกล้วยจากท้องตลาด” คุณประมวลกล่าว

อัตราส่วนการปล่อยปลา
หนึ่งเทคนิค ในการเลี้ยง
อัตราส่วนในการปล่อยลูกปลาต่อหนึ่งกระชังต้องขึ้นอยู่กับขนาดของกระชังปลาที่จะเลี้ยงเพราะแต่ละกระชังที่จะเลี้ยงส่วนใหญ่มีขนาดที่ไม่เท่ากัน สำหรับกระชังปลาของคุณประมวล มีความกว้างเท่ากับ 6 เซนติเมตร ยาวเท่ากับ 6 เซนติเมตร ซึ่งสามรถปล่อยลูกปลาได้มากถึง 2,000 กว่าตัว เป็นอัตราส่วนที่ทดลองมาหลายรอบ ผลที่ได้จากการทดลองคือปลาสามารถเจริญเติบโตได้ดี ไม่หนาแน่นเกินไป

คุณประมวล กล่าวว่า หนึ่งปีจะทำการเพาะเลี้ยงเพียง 2 รอบเท่านั้น คือช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน – มีนาคมและเดือนพฤษภาคม – กันยายน เพราะด้วยสภาพภูมิอากาศในช่วงนี้จะเหมาะสมและสามารถเพาะเลี้ยงได้ แต่ถ้าทำการเพาะเลี้ยงในช่วงเดือนอื่นๆ อาจจะมีอุปสรรค์หลายด้าน โดยเฉพาะเดือนเมษายน ซึ่งเป็นเดือนที่สภาพภูมิอากาศมีความร้อนสูง อาจจะส่งผลทำให้น้ำในแม่น้ำร้อน ทำให้ปลาไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ เป็นการไม่เอื้อต่อการเพาะเลี้ยงอาจทำให้ได้รับผลกระทบในการเพาะเลี้ยง บวกกับในหน้าน้ำหลากมีน้ำที่ปนเปื้อนสารเคมีไหลผ่านไปมาทำให้ปลาตายซึ่ง เป็นผลกระทบที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ นอกจากการหยุดเพาะเลี้ยงในช่วงเวลานั้น

ตลาดรับชื้อ
ตลาดรับชื้อหลักๆ จะส่งขายให้กับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (CP) ซึ่งจะรับชื้อเฉพาะปลาทับทิมเท่านั้น ส่วนปลากดคลัง ปลากดหลวงและปลาอื่นๆ จะส่งขายให้กับต่างจังหวัด เช่น เชียงใหม่ และตามร้านอาหารทั่วไปที่เป็นลูกค้าเดิม ราคาที่รับชื้อก็เป็นราคาที่เหมาะสม ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบกัน

คุณประมวล กล่าวทิ้งท้าย ทุกวันนี้ทำอาชีเพาะเลี้ยงปลาก็มีความสุขดี ครอบครัวสามารถอยู่ได้ กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ก็ต้องผ่านอุปสรรค์มามาก แต่ก็ไม่เกินความสามารถของคนเราที่จะมุ่งมั่นและพยามยามที่จะทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้

 

ข้อมูลขาก-technologychaoban