เกษรตรอินทรีย์

“แก้วมังกรสีเหลืองอิสราเอล” หวาน หอม อร่อย ขายกิโลละ 120 บาท มีเพียงแห่งเดียวที่จังหวัดเลย

แก้วมังกร เป็นอีกหนึ่งผลไม้สุดโปรดของหลายๆท่าน เพราะความหวาน อร่อย ทานง่าย และมีประโยชน์อย่างมาก เนื่องจากว่า แก้วมังกรขึ้นชื่อว่าเป็นผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง ซึ่งไฟเบอร์เป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยลดภาวะระดับน้ำตาลในเลือดได้

วันนี้เรามีแก้วมังกรเหลืองอิสราเอล ซึ่งเป็นอีกสายพันธุ์ที่อร่อยอย่างมาก โดยคุณจอม หรือ นายวรวัฒน์ สอนจันทร์ อายุ 30 ปี หนุ่มไฟแรง ชอบการเกษตร มาปลูกแก้วมังกรเหลืองอิสราเอล มีเพียงแห่งเดียวที่จังหวัดเลย อยู่ที่ถนนภูเรือ-เลย ตรงแยกสานตม-อ.ท่าลี่ ต.สานตม อ.ภูเรือ จ.เลย เลี้ยวซ้ายไปประมาณ 3 ก.ม.

ซ้ายมือจะพบสวนแก้วมังกรไร่พ่อจอมอยู่ริมทางถนน ที่ปลูกแก้วมังกรอยู่บนเนินเขาประมาณ 50 ไร่ เต็มไปด้วยเสาหลักที่ปลูกแก้วมังกรร่วม 10,000 หลัก/ต้น สุดหูสุดตา และปลูกแก้วมังกรเหลืองอิสราเอลที่เยอะที่สุดเป็นรายแรกของจังหวัดเลย

แก้วมังกรเหลืองอิสราเอล ผลเป็น สี เ ห ลื อ ง สวย เปลือกหนา เนื้อแน่น อร่อย หวาน หอม รสชาติเหมือนลิ้นจี่ หากินได้ยากราคาแพงตกกิโลละ 120 บาท

นายวรวัฒน์ สอนจันทร์ ที่สวนปลูกแก้วมังกรจำนวน 50 ไร่ แยกเป็นแก้วมังกรสีแดง 40 ไร่สีเหลือง 10 ไร่มีจำนวน 1,200 หลัก ได้ผลผลิตแล้วประมาณ 200 หลัก ที่สวนจะปลูกแก้วมังกรเหลืองอิสราเอลโดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เราจะไม่ใช้ปุ๋ยเคมี

โดยเฉพาะตลาดเมืองไทยผู้บริโภคชอบแก้วมังกร สีเหลืองมาก หาซื้อได้ยากและราคาแพงแก้วมังกรเหลืองอิสราเอล เป็นไม้ในสกุล ไฮโลซีรีอัส เป็นพืชในตระกูลกระบองเพชรชนิดหนึ่งที่มีลำต้นเลื้อยได้ไกลประมาณ 3–5 เมตร ลำต้นมีลักษณะเป็นแฉก 3 แฉก มีหนาม มีราก 2 แบบ คือ รากลงดินและมีรากอากาศสำหรับเป็นมือเกาะสิ่งที่พาดพัน ดอกเป็นรูปกรวยขนาดใหญ่ ออกตามซอกหนามของลำต้น

ดอกเป็นสีขาว แ ล ะ ด อ ก จะบานเฉพาะตอนกลางคืนเพียงคืนเดียวแล้วจะร่วง จากนั้นจะติดผลเป็นรูปกลมรีหรือรี ย า ว แล้วแต่สายพันธุ์ ผลโตเต็มที่มีน้ำหนักเกือบ 1 กิโลกรัมต่อผล หรือ 1 กิโลกรัมต่อผล เปลือกผลเป็นสีเหลืองสด ครีบเป็นสีเขียวดูสวยงามมากตามภาพประกอบคอลัมน์ เนื้อในสุกเป็นสีขาว มีเมล็ดขนาดเล็กเป็นสีดำจำนวนมากกระจายทั่ว รสชาติหวานหอมรับประทานอร่อยยิ่งนัก

มีดอกและติดผลช่วงเดือนมิถุนายนต่อเนื่องไปจนถึงผลแก่หรือสุกเดือนตุลาคมของทุกปี ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำต้น ปลูกได้ในดินทั่วไป เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลกินในครัวเรือนหรือเก็บผลขายได้ราคาดีและคุ้มค่ามาก

ที่สวนของคุณจอม ปลูกแก้วมังกรสีเหลือง หรือแก้วมังกรอิสราเอล เป็นรายแรกของจังหวัดเลย ใครที่สนใจก็สามารถเข้าไปดูรายละเอียดที่เพจ ‘สวนแก้วมังกร ไร่พ่อจอม ขาย กิ่งพันธุ์แก้วมังกร กิ่งพันธุ์พริกไทยซีลอน’ เลยนะคะ

หรือ ลู ก ค้ า ท่านใดที่สนใจสามารถรับ “กิ่งพันธุ์แก้วมังกร” สวนแก้วมังกร ไร่พ่อจอม ได้ที่หน้าสวนในราคา 5 บาท ถ้ามีการขนส่งคิดตาม ร ะ ย ะ ทางล่ะก็จำนวน ลูกค้าสามารถรักษากิ่งพันธุ์แก้วมังกรด้วยการวางใต้ร่มไม้  หรือที่พรางแสงและรถน้ำ 2 วันต่อครั้งทำให้สามารถเก็บกิ่งพันธุ์ไว้ได้นานแต่ ร ะ วั ง ปลวกถ้าพื้นเป็นดิน

ข้อมูลจาก www.ให้ความรู้.com

“แก้วมังกรสีเหลืองอิสราเอล” หวาน หอม อร่อย ขายกิโลละ 120 บาท มีเพียงแห่งเดียวที่จังหวัดเลย Read More »

วิธีเพาะเห็ดเผาะ เพาะเองได้ไม่ต้องรอฤดูกาล

เห็ดเผาะ” เป็นเห็ดพื้นบ้านที่นิยมนำมารับประทานมาก ช่วงนี้ราคาเห็ดเผาะ กิโลกรัมละเกือบพันบาท แต่ถึงจะแพงยังไง ก็ยังซื้อกินกันจนเห็ดโตไม่ทันอยู่ดี สำหรับใครที่ชอบกินเมนูเห็ดเผาะ ถือได้ว่าเป็นข่าวดีเลยก็ว่าได้ เพราะว่า เห็ดเผาะสามารถปลูกเองได้ โดยที่ไม่ต้องรอหน้าฝนอีก 1 ปี วนมาอีกรอบต่อไปแล้ว

ด้วยความที่เห็ดเผาะ มีเนื้อกรอบกุบกับ มีรสหวานเล็กน้อย รสชาติอร่อย จนเป็นที่ต้องการของคนจำนวนมาก ซึ่งนอกจากจะมีรสชาติที่ดีแล้ว ยังมีประโยชน์คุณค่าทางโภชนาสูง และยังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย โดย“เห็ดเผาะ” หรือ “เห็ดถอบ” มี 2 สายพันธุ์ ได้แก่ “เห็ดเผาะหนัง” สีดำกรอบๆ และ “เห็ดเผาะฝ้าย” ออกไปทางอ่อนนิ่ม

ดร.อานนท์ เอื้อตระกลู ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส ด้านการเพาะเห็ด องค์การสหประชาชาติ ได้ให้ความรู้ว่า ” เราสามารเพาะเห็ดเผาะ โดยนำเชื้อเห็ดเผาะ ใส่เข้าไปในรากของต้นไม้ เช่น ต้นยางนา ต้นพลวง มะค่า เต็งรัง ต้นไม้พวกนี้หากมีเชื้อเห็ดเผาะเข้าไปอาศัยจะโตไวมาก เพราะเส้นใยเห็ดเผาะ จะเกาะอยู่ที่ปลายราก ย่อยอาหารจำพวกฟอสฟอรัสซึ่งมีอยู่มากในรากพืชจำพวกนี้ ทำให้พืชแข็งแรง และ ป้องกันโรค อย่างอื่นมาทำลา ยรากของต้นไม้นั้น เรียกว่า อยู่กันแบบพึ่งพาอาศัย “

สำหรับเห็ดเผาะ จะนิยมนำมาทำอาหารในช่วงที่อ่อนๆ เราจึงได้นำวิธีการจับดูเห็ดเผาะ ด้วยลักษณะภายนอกแบบคร่าวๆ เพื่อให้เราสามารถแยกเห็ดเผาะได้ว่าแบบไหนที่จะนำมาทำอาหารได้อร่อย ดังนี้

วิธีการปลูกเห็ดเผาะ
วิธีที่ 1 นำ “เห็ดเผาะ” ที่แ ก่จัดมาแกะเอาสปอร์ข้างใน แล้วนำไปผสมน้ำให้เข้ากัน จากนั้นนำน้ำดำๆ ที่ได้ราดไปที่โคนต้นไม้ ในปีถัดไปก็จะมีเห็ดเผาะเกิดตามรากไม้ รออีกสัก 2 ปีให้ต้นไม้โตพอ ค่อยเริ่มเก็บเห็ดได้ และจะเกิดที่ต้นไม้ต้นนี้ทุกๆปี

วิธีที่ 2 คล้ายๆกับวิธีแรก แต่จะนำน้ำดำๆ ไปรดกล้าต้นไม้ทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละครั้ง แล้วสังเกตุดูต้นกล้าถ้าเริ่มเห็นว่ามีเนื้อเยื่อ “เห็ดเผาะ” เจริญเติบโตแล้ว ให้นำไปปลูกได้ วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุด

วิธีที่ 3 ใช้วิธีนำต้นกล้าไปปลูกทิ้งไว้ใต้ต้นไม้ยางนาสักระยะ ก็จะได้ต้นกล้าที่ติดเชื้อ “เห็ดเผาะ” ไปด้วย แต่เมื่อในปีถัดไปมี “เห็ดเผาะ” เกิดขึ้น อย่าพึ่งเก็บเพราะต้นไม้ยังไม่แข็งแรงพอ วิธีนี้จะเป็นวิธีที่ง่ายกว่าวิธีอื่น

หากใครสะดวกวิธีการแบบไหน ก็ลองใช้ได้ตามความต้องการของแต่ละคนได้เลยครับ รู้วิธีการปลูกเห็ดเผาะ ด้วยตัวเองง่ายๆแบบนี้แล้ว ก็ไม่ต้องเสียเงินไปซื้อกิโลละเกือบพันบาทกันแล้วนะครับ

ข้อมูลจาก www.kasetnana.com

วิธีเพาะเห็ดเผาะ เพาะเองได้ไม่ต้องรอฤดูกาล Read More »

ลงทุนน้อยกำไรงาม ปลูกพริกในกระสอบ ทำเงินได้กว่า 15,000 บาท/เดือน บนที่ดินเพียง 1 งาน

การปลูกพริกในกระสอบเป็นวิธีการ ป ลู ก พริกแบบใหม่ ไม่ต้องปลูกลงดิน แต่ใช้กระสอบป่านแทน ทีนี้ท่านผู้อ่าน จ ะ เ กิ ด คำถามในใจสงสัยว่า ทำไมไม่ใช้กระถางหรือปลูกลงบ่อซีเมนต์ สาเหตุที่เลือกใช้ ก ร ะ ส อ บ ป่านเพราะ มีข้อดีตรงน้ำหนักเบา ยกเคลื่อนย้ายไปวางปลูกที่ไหนก็ได้

ไม่หนักเหมือนปลูก ใ น ก ร ะ ถ า ง ในบ่อซีเมนต์ และใช้ต้นทุนในการปลูกไม่สูง กระถาง หรือ บ่อซีเมนต์ นั้นมีต้นทุนในการ ป ลู ก สูง แต่กระสอบป่านนั้นมีราคาถูกกว่ามาก แล้วทำไมไม่ปลูกลงดินโดยตรงไปเลย…? สาเหตุเพราะไม่ว่าดินจะมีสภาพแย่แค่ไหน ก็ปลูกได้หมด เพราะเราสามารถปรับปรุงดินได้ ถ้าปลูกลงดิน โ ด ย ตรงเวลาเราใส่ปุ๋ยบำรุงดิน ปุ๋ยจะกระจายไปทั่ว ซึมลงดินไปตามกระแสน้ำ แต่ถ้า เ ร าใส่ปุ๋ยบำรุงในกระสอบ ปุ๋ยก็จะอยู่แค่ในกระสอบ และ ยังปลูกพริกได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องพักดิน

นาย พิเชษ ด้วงชู กำลังศึกษาอยู่ชั้น ปวส. ปี 2 สาขา ด้ า น พืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพัทลุง มีแนวคิดที่อยากจะช่วยพ่อแม่หารายได้ ซึ่งทางบ้านก็ทำสวนยางพาราอยู่แล้ว แต่ด้วยราคายางพาราที่ตกต่ำทำให้รายได้ลดลงอย่างมาก แต่ก็พอมีที่ดินเล็กๆว่างอยู่ข้างบ้าน ประมาณ 1 งาน แต่ดินไม่ดีปลูกอะไรก็ยาก นาย พิเชษ ได้ความรู้มาจากการเข้าร่วม “โครงการเกษตรเพื่อชีวิต เกษตรรุ่นใหม่ ใส่ใจมาตรฐาน” โดยได้นำเอาแนวคิด การปลูกพริกในกระสอบ มาปรับใช้ในที่ดินของตนเอง

ปลูกพริกกระสอบ …ที่ดินแค่งานเดียว สร้างรายได้เท่าเงินเดือนคนจบปริญญาตรี ทั้งยังไม่ต้องใช้ที่ดินในการเพาะปลูกมาก ก็สามารถทำได้ ต้นทุนต่ำ และ ได้ผลผลิตดีที่บ้านมีที่ดินน้อยแต่อยากลองวิชาที่อบรมมา ทำได้ จ ริ ง หรือเปล่า เพราะคิดว่าที่ดินแค่งานเดียว จะไปทำอะไรได้ แต่เมื่อได้เริ่มลงมือทำ… ปรากฏว่าผิดคาด แค่ลองครั้งแรก ตามประสาคนไม่มีประสบการณ์ หักต้นทุน ยังเหลือกำไรตั้งห้าพันบาท

และ พอมาลงมือทำแบบจริงจัง อาศัยบทเรียนจากครั้ง แ ร ก ต่อยอดมาทำบนที่ดิน 1 งาน ปลูกพริกกระสอบ 200 ถุง ปลูกไปได้ 3 เดือน ก็เริ่มเห็นผล แต่ละเดือนได้พริกประมาณ 120 กก. ราคากิโลละ 130-150 บาท คำนวนคร่าวๆก็ตกเดือนละ 15,000-18,000 บาท

วิธีปลูกพริกกระสอบให้ได้ผล นาย พิเชษ บอกเคล็ดลับว่า เริ่มจากนำดินร่วนปนทราย 12 กก. มาผสมมูลวัว 5 ขีด ปูนขาว 1 กำมือ คลุก เ ค ล้ า ให้เข้ากันใส่ถุงปุ๋ย พับ ป า ก ถุงให้สูงขึ้นมาจากดินที่บรรจุอยู่ในถุงประมาณ 1 ฝ่ามือ เพื่อช่วยบังลมให้ต้นกล้าพริกส่วนพันธุ์พริกที่จะนำมาปลูกนั้นแล้วแต่จะเลือกใช้ ขึ้นอยู่กับ ค ว า ม ต้องการของตลาดในแต่ละพื้นที่ แต่สำหรับพัทลุง จะใช้พริกพันธุ์เดือยไก่ เพราะตลาดใน แ ถ บ นี้มีความต้องการพริกพันธุ์เดือยไก่มากกว่าชนิดอื่น ทำให้ได้ราคาดีกว่าพริกชนิดอื่น

ลงปลูกเพียงแค่ 3 เดือน สามารถเก็บขายได้นาน เ ป็ น ปีหรืออาจจะมากกว่า ขึ้นอยู่กับการดูแล สูตรการปรุงดิน และเมื่อต้นพริกวาย (หมดอายุ) ก็ แ ค่ ย ก กระสอบออกนำดินไปเทผึ่งแดดฆ่าเชื้อ หาดินชุดใหม่มาใส่กระสอบทำเหมือนเดิม แนวทางการทำเกษตรด้วยการปลูกพืชในกระสอบนั้น ถือว่าเป็นวิธีที่ยังไม่ค่อยมีคนรู้จักแต่ คุณ พิเชษ ก็ได้เรียนรู้และนำมาปรับใช้จนเหมาะสม

ถือได้ว่าเป็นเกษตรกรยุคใหม่ที่ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยน แ ป ล ง ได้ดี ใฝ่หาข้อมูลความรู้ ลองผิดลองถูก พัฒนาแนวทาง จนสามารถนำเอาความรู้ทาง ก า ร เ ก ษต ร มาประกอบเป็นอาชีพสร้างรายได้ให้ครอบครัวและตัวเองได้เป็นอย่างดี เป็นตัวอย่าง ค น รุ่ น ใ ห ม่ กล้าคิด และลงมือทำ เพื่อมุ่งไปสู่ความสำเร็จในทางของเราเอง

ข้อมูลจาก Closeeyes

ลงทุนน้อยกำไรงาม ปลูกพริกในกระสอบ ทำเงินได้กว่า 15,000 บาท/เดือน บนที่ดินเพียง 1 งาน Read More »

ปลูกมะเขือเปราะ ให้ติดดอก ออกผลดกตลอดฤดูกาล


เมื่อกล่าวถึงมะเขือเปราะ หลายท่านคงรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นพืชผักยอดนิยมของบ้านเรา ปรุงอาหารได้หลากหลายอย่าง อีกทั้งยังปลูกง่ายเป็นพืชที่ทนต่องสภาพอากาศได้ดี วันนี้จึงขอนำเสนอ เทคนิคการปลูกมะเขือให้ออกดอกออกผลตลอดทั้งปี เก็บกินได้เรื่อยๆ วิธีการก็ไม่ยากเลยค่ะ ไปดูกันเลย

พันธุ์มะเขือเปราะ

มะเขือเปราะที่นิยมรับประทานนั้น จะเป็นพันธุ์เจ้าพระยา ซึ่งเป็นพันธุ์ดั้งเดิม มีลักษณะผลที่กลมมีสีเขียวอ่อนริ้วสีขาว รสชาติดี หวานกรอบ

การเพาะกล้าต้นมะเขือเปราะ

1.เริ่มขั้นตอนแรกเริ่มโดยเตรียมดินและปุ๋ย ในอัตราส่วน 2 : 1 และนำดินผสมเรียบร้อยแล้วใส่ลงในถาดพลาสติกสำหรับเพาะกล้า

2.ต่อมาใช้ไม้แหลมเล็กๆ ปักลงไปในดินในถาดพลาสติกเพาะกล้า โดยให้มีความลึก 0.5 ซม.

3.จากนั้นนำเมล็ดมะเขือเปราะค่อยๆหยอดลงในหลุมปลูก โดยหยอดหลุมละประมาณ 1-2 เมล็ด แล้วนำกลบดินผิวหน้าเมล็ด ใช้ปูนขาวโรยเป็นเส้นยาวๆล้อมถาดเพาะไว้

4.เมื่อทำการเพาะไว้เป็นระยะเวลาประมาณ 7-10 วัน จะเริ่มเห็นว่ามะเขือเปราะเริ่มงอกกล้าขึ้นมาให้เห็น ให้รดน้ำต้นกล้ามะเขือเปราะทุกวันๆละ 1-2 ครั้ง เช้าและเย็น เมื่อมะเขือเปราะมีอายุ 25-30 วัน จึงค่อยย้ายกล้ามะเขือเปราะลงปลูกในแปลงปลูกหรือในกระถางต่อไป

ขั้นตอนการเตรียมแปลงปลูกมะเขือเปราะ

1.ทำการเตรียมดินปลูก โดยใช้จอบขุดเพื่อย่อยดินหน้าดินให้มีความลึกประมาณ 15-20 เซนติเมตร

2.ใส่ปุ๋ยหว่านให้ทั่วแล้วทำใช้จอบผสมคลุกเคล้ากับดินในแปลง ขุดหลุมปลูกโดยให้มีระยะปลูกระหว่างต้นห่าง 70-80 เซนติเมตร โดยในระหว่างแถวให้ห่าง 90-100 เซนติเมตร แล้วนำกล้ามะเขือลงปลูกได้เลยค่ะ

การดูแลรักษามะเขือเปราะขณะปลูก

หลังจากทำการย้ายกล้ามาปลูกแล้วประมาณ 7-10 วัน ให้เริ่มใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในอัตราต้นละ 1 ใน 4 ส่วนของช้อนชา และควรโรยห่างจากโคนต้นประมาณ 2-3 เซนติเมตรแล้วรดน้ำตามทันที

หลังจากทำการย้ายกล้ามาปลูกแล้วประมาณ 45-60 วัน มะเขือเปราะจะเริ่มออกผลผลิตมาให้เห็น ก็สามาถเก็บผลผลิตไปบริโภคได้เลยค่ะ

หลังจากที่เก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว ไปประมาณ 2 เดือน ให้ทำการตัดแต่งกิ่งออกเพื่อมะเขือเปราะเจริญเติบโตจะให้ผลผลิตรุ่นใหม่ได้อีกต่อไปเรื่อยๆ

ถือว่าเป็นการปลูกมะเขือเปราะที่ไม่ได้มีกรรมวิธียุ่งยากอะไร และวิธีนี้ยังให้ผลผลิตเยอะมากๆและต่อเนื่องอีกด้วยค่ะ ลองไปทดลองปลูกกันดูนะคะ

ปลูกมะเขือเปราะ ให้ติดดอก ออกผลดกตลอดฤดูกาล Read More »

อาชีพเกษตรลงทุนน้อย หากถูกเลิกจ้างก็ทำได้เลย

1.เพาะเห็ดฟางในตะกร้า

ใช้ต้นทุนเพียง 150–300 บาท

ขั้นตอนการทำ

1.ตะกร้าทรงกลมสูง 5 ใบ ราคาใบละ 20 บาท=100 บาท

2.ก้อนเชื้อเห็ดฟาง 50 บาท

3.ฟางข้าว+ขี้เลื่อย

4.ถุงดำ 50 บาท

วิธีทำ

1.เริ่มขั้นตอนแรกโดยการนำฟางข้าวแช่น้ำไว้ 1 คืน แล้วผึ่งให้แห้ง

2.ใส่ฟางลงไปที่ก้นตะกร้า ตามด้วยขี้เลื่อย แล้วโรยเชื้อเห็ดฟางตามลงไป

3.ทำซ้ำแบบข้อ 2 เป็นชั้นๆจนเต็มตะกร้า ชั้นบนสุดให้โรยขี้เลื่อยและเชื้อเห็ดมากๆ ดอกเห็ดจะได้ออกเต็มที่

4.จากนั้นให้ครอบด้วยถุงพลาสติกดำ เพาะจนเวลาผ่านไป 4-5 วัน จะเริ่มมีละอองน้ำเกาะในถุงดำอยู่แต่ถ้าไม่มีให้รดน้ำเพิ่มความชื้น

5.จากนั้น 12 วันต่อมา เห็ดดอกเล็กๆจะเริ่มออกดอก แล้วอีก 5 ค่อยทำการเก็บดอก จะได้เห็ดประมาณ 2 กิโลกรัมต่อ 1 ตะกร้าค่ะ

ข้อควรระวัง ช่วงวันที่ 4 ถึงวันที่ 9 ห้ามเปิดถุงเด็ดขาดเพราะจำให้เชื้อเห็โหยุดการเจริญเติบโตแล้วเห็ดจะเน่าหมดค่ะ

4 อาชีพนี้เป็นอาชีพเกษตรที่ทำง่ายๆท่านใดอยากลองทำเป็นอาชีพเสริมก็ได้นะคะ รับรองทำง่ายขายคล่องค่ะ

2.สาระแหน่ในตะกร้า

ใช้ต้นทุนเพียง 420 บาท

ขั้นตอนการทำ

1.ยอดสาระแหน่ประมาณ 2 กรัม 20 บาท

2.ถาดสำหรับรอง 20 บาท

3.ตะกร้าตาถี่พลาสติก 20 บาท

4.หินเพอร์ไลท์ + ถาดหลุม 160 บาท ( สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์ปลูกผักไฮโดรโปรนิกส์ )

5.ปุ๋ยน้ำ 200 บาท

วิธีทำ

1.เลือกสาระแหน่ยอดที่สมบูรณ์ จะทำให้การเพาะได้ผลผลิตดี

2.ริดใบด้านล่างยอดออกให้เหลือเพียงใบเลี้ยงไว้ปลายยอดประมาณ 2-3 ใบ

3.นำยอดสาระแหน่ที่ตัดแต่งเตรียไว้มาปักลงในถาดหินเพอร์ไลท์ โดยขั้นตอนนี้ต้องระมัดระวังไม่เกิดความเสียหายแก่ยอด

4.จากนั้นนำถาดหินเพอร์ไลท์ใส่ลงในตะกร้า แล้วนำถาดรองตะกร้าอีกชั้นเพื่อรองน้ำ รักษาระดับน้ำให้อยู่ประมาณฐานตะกร้าอยู่ตลอด ควรผสมปุ๋ยน้ำเสริมไประหว่างเพาะจะช่วยเร่งการเจริญเติบโตของสาระแหน่(อัตราการใส่ปุ๋ยสามารถดูได้ข้างขวด)

5.เมื่อครบ 1 เดือน จะเริ่มแตกยอดออกใบ พร้อมให้เก็บเกี่ยวได้เลย และยังสามารถนำยอดอ่อนใหม่มาขยายเพาะซ้ำได้เรื่อยๆอีกด้วยค่ะ

3.เพาะเห็ดนางฟ้าในบ่อปูนซีเมนต์

ใช้ต้นทุนเพียง 470 บาท

ขั้นตอนการทำ

1.บ่อปูนซีเมนต์ 120 บาท

2.พลาสติกใสหรือกระสอบสำหรับคลุม

3.เศษไม้เก่า

4.ก้อนเชื้อเห็ดนางฟ้า 10 บาท (1 บ่อ เพาะได้ 30-35 ก้อน)

วิธีทำ

1.ตะแคงบ่อปูนซีเมนต์ในแนวตั้ง แล้วหาเศษแผ่นไม้มาวางรองเพื่อวางก้อนเชื้อ

2.เปิดก้อนเชื้อเห็ดทำได้โดยแกะเศษวัสดุต่างๆที่หุ้มไว้ตรงจุกก้อนออก นำก้อนเห็ดมาเรียงซ้อนกันขึ้นไปต่อชั้นๆ โดยให้หันจุกก้อนเห็ดออกมาด้านนอกบ่อ

3.รดน้ำนั้นให้รดลงไปบนก้อนเชื้อเห็ด อย่าให้เน้ำข้าไปในก้อนเชื้อเด็ดขาด แล้วค่อยเอาพลาสติกหรือกระสอบคลุมแล้วรดน้ำใส่วัสดุคลุมอีกครั้ง

4.รดน้ำวันละ 3 เวลา ทุก-เช้า-กลางวัน-เย็น ผ่าไป 7 วัน ตุ่มดอกเห็ดจะเริ่มออกมาให้เห็นแล้ว

ราคาขาย

อยู่ที่กิโลกรัมละ 100 – 120 บาท

4.เพาะถั่วงอกในขวด

ใช้ต้นทุนเพียง 490 บาท

วัสดุอุปกรณ์ที่ต้องเตรียม

1.ขวดน้ำพลาสติกเหลือใช้

2.ถั่วเขียวอย่างดี 1 กิโลกรัม 35 บาท ( ใช้ 14 กิโลกรัม = 490 บาท )

ขั้นตอนการทำ

1.เริ่มจากแช่เมล็ดถั่วเขียวในน้ำอุ่นเป็นเวลา 1 คืน

2.นำขวดพลาสติกมาเจาะรูที่ด้านข้างของขวด เพื่อทำไว้เป็นเพื่อระบายน้ำ

3.จากนั้นนำถั่วเขียวที่แช่น้ำอุ่นมาใส่ในขวดพลาสติกที่เจาะรูเตรียมไว้ แล้วเอาผ้าสะอาดห่อขวดไว้เพื่อรักษาความชื้นและป้องกันแสง

4.ดูแลบำรุงต้นถั่วโดยรดน้ำถั่วงอก เช้า-เย็น เมื่อเวลาผ่านไป 3 วัน ก็สามารถเก็บขายได้ โดยถั่วเขียว 1 กิโลกรัมสามารถเพาะถั่วงอกได้ถึง 7 กิโลกรัม

ราคาขาย

กิโลกรัมละ 10 บาท นั่นคือ ถั่วเขียว 1 กิโลกรัม จะได้กำไร 35 บาท

ข้อมูลจาก POST NO NAME

อาชีพเกษตรลงทุนน้อย หากถูกเลิกจ้างก็ทำได้เลย Read More »

การบำรุงพริกทางใบและทางดิน ทำให้ต้นงาม ผลดกทั้งต้น เก็บได้นานหลายปี

ส่วนผสม
กะปิ  ซันไล  คาราบาวหรือยี่ห้ออื่น  น้ำเปล่า

วิธีทำ
นำกะปิ 2 ช้อน ผสมในน้ำอุ่น ให้เข้ากัน

เติมคาราบาว 2 ฝา

เติมน้ำเปล่าลงไป 1  แก้ว  แล้วเอาไปเก็บไว้ในขวดพลาสติก

การนำไปใช้งาน
น้ำเปล่า 1 ล. ผสมน้ำที่ได้ 3 ช้อน และซันไล 1 ชช. ใช้พ่นอาทิตย์ละครั้ง 2 ครั้ง   ในช่วงเย็น พริก มะเขือ มะนาว แต่ถ้าเป็นผัก ทาน ใบ ให้ใช้ นม   จืด แทนซันไล

แต่เป็นแบบรดทางดิน  ใช้น้ำเป่า 10 ล. และน้ำที่ได้ 1 แก้ว    ผสมรดได้เลยอาทิตย์ละครั้ง  เป็นการบำรุงให้ต้นงาม

การบำรุงพริกทางใบและทางดิน ทำให้ต้นงาม ผลดกทั้งต้น เก็บได้นานหลายปี Read More »

อาหารปลาลดต้นทุน เลี้ยงปลาด้วยฟางข้าว

การเลี้ยงปลาด้วยฟางข้าวนี้ได้รับการคิดค้นมาจาก คุณมงคล ทวีสิน เกษตรกรในจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ได้ใช้ฟางข้าวเลี้ยงปลาโดยบังเอิญแต่กลับได้ผลเป็นที่น่าพอใจ

คุณมงคล ปกติแล้วมักเลี้ยงปลาด้วยอาหารสำเร็จรูปแต่กลับให้ผลไม่เป็นที่น่าพอใจเนื่องจากขาดทุนย่อยยับจึงต้องล้มเลิกการเลี้ยงปลาและนำฟางข้าวมาถมบ่อเพื่อที่จะกลบบ่อเลิกกิจการทั้งหมด แต่ผลปรากฏว่าฟางข้าวที่จมน้ำนั้นเป็นผลดีกับปลาที่เลี้ยงไว้เนื่องจากปลามากินฟางข้าวที่เปื่อยจนหมดและปลาก็อ้วนท้วนสมบูรณ์ดีเทียบเท่ากับการเลี้ยงด้วยอาหารปลาสำเร็จรูปเลยทีเดียว

จากนั้นจึงได้ปล่อยลูกปลาสวาย ปลาสลิด ปลาทับทิม ปลาดุกอุ้ย ลงในบ่อเลี้ยงปลา เมื่อระยะเวลาผ่านไป 1 ปี ก็ลองนำปลาที่เลี้ยงด้วยฟางมาขาย ผลปรากฏว่าได้ปลาขนาดใหญ่ตามที่ตลาดต้องการดังเช่นเลี้ยงด้วยอาหารสำเร็จรูป ปลาทับทิมตัวละ 3-4 ขีด ปลาสวายขนาดเกือบ 2 ก.ก. ปลาดุกอุ้ย 3-4 ตัวต่อ 1 ก.ก. ปลาสลิดก็มีขนาดใหญ่เช่นเดียวกัน

ขั้นตอนการเลี้ยงปลาด้วยฟางข้าว

เริ่มจากต้องมีบ่อปลาเสียก่อน จะขุดใหม่หรือใช้บ่อเก่าก็ได้ โดยให้บ่อความลึกประมาณ 2-3 เมตร เป็นอย่างน้อย หรือขนาดของบ่อจะอยู่ที่ขนาดของพื้นที่ถ้าพื้นที่น้อยก็มีบ่อขนาด 2-3 งาน หรือ ขนาด 1 ไร่ จากนั้นปล่อยน้ำใส่ในบ่อจนเต็มแล้วหามูลโค-กระบือมาใส่ไว้เพื่อเพาะพันธุ์ลูกไร เพื่อเป็นอาหารแก่ลูกปลาที่เลี้ยงไว้อีกทางหนึ่ง โดยพื้นที่บ่อ 1 ไร่ จะปล่อยลูกปลาจำนวน 10,000 ตัว ลูกปลาจะหากินฟางข้าวและลูกไรเป็นอาหาร

การให้ฟางข้าวเลี้ยงปลา เกษตรกรจะต้องกองฟางข้าวไว้ที่ริมบ่อให้ส่วนหนึ่งให้จมน้ำและกองฟางข้าวไว้ใต้ลม เพราะเมื่อลมพัดฟางจะได้ไม่กระจายไปทั่วบ่อ เมื่อฟางข้าวในบ่อเริ่มยุบตัวลงก็ค่อยดันฟางข้าวแห้งที่ขอบบ่อลงไปเสริม ระหว่างนี้ไม่จำเป็นต้องให้อาหารใดนอกจากฟางข้าวเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี ให้ลองจับปลาขึ้นมาเช็คดูว่าขนาดและคุณภาพใช้ได้หรือไม่ และช่วงใดปลามีราคาแพงก็ให้เลือกจับในช่วงนั้น เพราะเนื่องจากไม่มีต้นทุนทางอาหารปลา จึงไม่ต้องกำหนดเวลาจับ

ระยะเวลา 1 ปี การเติบโตของปลาเฉลี่ยแล้ว ปลาสวายตัวละ 2 ก.ก. ปลาหมอ ขนาด 5-6 ก.ก. ปลาทับทิม ตัวละ 3-4 ตัว/ก.ก.

คุณภาพของปลาที่ได้จะเหมือนกับปลาที่จับมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติ ซึ่งเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคและได้ราคาดี เนื่องจากไร้กลิ่น สะอาด มันน้อย เมื่อคำนวนดูแล้วหากได้น้ำหนักโดยรวมประมาณ 1 ตัน ต่อ พื้นที่บ่อ 1 ไร่ ซึ่งเมื่อคิดเป็นอัตราขั้นต่ำก็มีรายได้ไม่น้อยกว่า 60,000 บาท

การค้นพบครั้งนี้ถือเป็นการค้นพบที่มีค่าแก่เกษตรกรอย่างยิ่ง เนื่องจากช่วยลดต้นทุนการเลี้ยงและได้ผลผลิตดีอีกด้วย ท่านใดเลี้ยงปลาหรืออยากจะเริ่มเลี้ยงปลาลองเอาวิธีนี้ไปใช้ดูนะคะ

ข้อมูลจาก : สำนักงานเกษตรอำเภอสบปราบ, คุณมงคล ทวีสิน

อาหารปลาลดต้นทุน เลี้ยงปลาด้วยฟางข้าว Read More »

กุ้งฝอย ในบ่ออาชีพเสริมลงทุนน้อย

เศรษฐกิจในปัจจุบันทำให้หลายๆท่านมองหาอาชีพเสริมเพื่อเป็นรายได้จุนเจือครอบครัวเพิ่มเติม หนึ่งในอาชีพเสริมที่ได้รับความนิยมคือการเกษตรและเลี้ยงสัตว์ วันนี้จึงขอนำเสนออีกหนึ่งอาชีพเสริมที่ไม่ยากลงทุนไม่เยอะแต่ได้ผลดีมาฝากค่ะ นั่นคือการเลี้ยงกุ้งฝอยในบ่อพลาสติก นั่นเอง

โดยไอเดียนี้มาจาก คุณจันทร์ ชัยภา ประธานศูนย์เรียนรู้เครือข่ายการเลี้ยงสัตว์อินทรีย์ อ.สีคิ้ว ที่ได้แนะนำวิธีการเลี้ยงกุ้งฝอยแบบง่ายๆสำหรับผู้ที่สนใจค่ะ

เตรียมบ่อกุ้งฝอย

1.เริ่มขั้นตอนแรกโดยการขุดบ่อให้มีขนาดขนาด กว้าง 2 เมตร ยาว 8 เมตร และลึก 70 เซนติเมตร โดยท่านใดจะสะดวกก่ออิฐเป็นบ่อขึ้นมาก็ได้ค่ะ

2.จากนั้นนำพลาสติกสีดำมาปูรองก้นบ่อแล้วค่อยนำดินมาเทถมให้ทั่วก้นบ่อเหนือพลาสติกให้หนาประมาณ 7-8 เซนติเมตร แล้วจึงน้ำลงไปให้เต็มบ่อ พักบ่อทิ้งไว้ประมาณ 1 สัปดาห์

3.สุดท้ายให้นำสาหร่าย ผักตบชวา หญ้า หรือพืชน้ำ มาทิ้งไว้ในบ่อเพื่อปรับสภาพน้ำ เป็นอันเสร็จขั้นตอนการเตรียมบ่อกุ้ง

วิธีปล่อยกุ้งฝอยลงบ่อ

1.ให้เริ่มจากนำกุ้งฝอยจากแหล่งน้ำตามธรรมชาติหรือซื้อพันธุ์มาประมาณ 5 ขีด หากเป็นตัวเมียเยอะๆจะยิ่งดี (ตัวเมียจะมีไข่สีเขียวๆ ที่อยู่ใต้ท้อง)

2.จากนั้นค่อยๆปล่อยกุ้งฝอยลงในบ่อ โดยช่วงสัปดาห์แรกยังไม่ต้องให้อาหารใดๆทั้งสิ้นเพื่อให้กุ้งฝอยนั้นปรับตัวกับสภาพในบ่อ

การเลี้ยงและบำรุงกุ้งฝอย

อาหารกุ้งฝอย

นำไข่แดงที่ต้มสุกแล้ว(ไข่แดงเท่านั้น) จำนวน 2 ฟอง ผสมกับรำอ่อน 3 ขีด คลุกเคล้าจนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วปั้นเป็นก้อนกลมขนาดเท่ากำปั้นโยนลงไปในบ่อ ประมาณ 3 ก้อน ในทุกๆวัน 1เดือนให้หลังกุ้งฝอยจะเริ่มวางไข่ ให้ดูตอนกลางคืนโดยนำไฟฉายมาส่องสำรวจว่ากุ้งวางไข่หรือไม่

เทคนิคในการเร่งให้กุ้งฝอยวางไข่นั้น

นำสายยางน้ำมาเปิดลงบ่อ ให้เปิดน้ำแรงๆ ทิ้งไว้ประมาณ 10-20 นาที กุ้งฝอยนั้นชอบเล่นน้ำไหลและจะดีดตัวทำให้ไข่ตกลงมาจำนวนมาก และกุ้งฝอยนั้นจะไม่วางไข่ในน้ำนิ่งอีกด้วย เลี้ยงต่อไปเป็นระยะเวลา 1-2 เดือน กุ้งฝอยจะโตเต็มที่พร้อมจำหน่าย รวมระยะเวลาเลี้ยงตั้งแต่เตรียมบ่อถึงเก็บขายประมาณ 4 เดือน

แถม!สูตรวิธีการช่วยดับกลิ่นจัดการกับ เ ชื้ อ โ ร ค ในบ่อกระตุ้นกุ้งฝอยให้โตเร็ว

ทำในช่วงเตรียมบ่อ โดยผสม EM 2 ช้อนแกง , กากน้ำตาล 2 ช้อนแกง , น้ำ 1 ลิตร หมักส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันเป็นระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ อัตราส่วนในการใช้ให้นำน้ำหมัก 1 ลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร ใส่บัวรดน้ำแล้วราดรดให้ทั่วบ่อ แล้วค่อยเติมน้ำสะอาดตามลงไปแล้วค่อยลงกุ้งฝอยตาม สูตรนี้ช่วยให้บ่อสะอาดและกุ้งฝอยโตเร็วอีกด้วย

จากการเลี้ยงในบ่อตามขนาดที่คุณจันทร์ ชัยภา แนะนำนั้นจะได้กุ้งฝอยทั้งหมดประมาณ 20-30 กิโลกรัม ต่อบ่อ ซึ่งจะขายได้ในราคา 100 ถึง 200 บาทต่อกิโลกรัมเลยทีเดียว

บ่อกุ้งฝอยนี้สามารถเลี้ยงพร้อมกันได้หลายบ่อการดูแลก็ไม่ยุ่งยาก ท่านใดมีพื้นที่และกำลังมองหาอาชีพเสริมอยู่การเลี้ยงกุ้งฝอยนี้น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียวค่ะ

ข้อมูลจาก : POST NO NAME

กุ้งฝอย ในบ่ออาชีพเสริมลงทุนน้อย Read More »

สร้างอาชีพกับ 4 อาชีพเกษตร ทุนเริ่มต้นน้อย

ปัจจุบันถือเป็นยุคข้าวยากหมากแพง อะไรๆก็แพงไปหมด ปลูกอะไรลงทุนอะไรก็หมดเงินไปหลายหมื่นหลายแสน วันนี้จึงขอเชิญชวนทุกท่านมาทำอาชีพเกษตรแบบลงทุนน้อยแต่ได้กำไรมากมาฝากค่ะ

1.เพาะเห็ดนางฟ้าภูฎานในบ่อปูนซีเมนต์

ใช้ต้นทุน 470 บาท

สิ่งที่ต้องเตรียม

  1. บ่อปูนซีเมนต์ 120 บาท
  2. พลาสติกหรือกระสอบป่านสำหรับคลุม
  3. แผ่นไม้เก่า
  4. ก้อนเชื้อเห็ด 10 บาท (1 บ่อ เพาะได้ 30-35 ก้อน)
  5. ผ้าคลุม

วิธีทำ

  • เริ่มจากตะแคงบ่อปูนในแนวตั้ง และหาแผ่นไม้มาวางรองเป็นฐานสำหรับวางก้อนเชื้อ
  • จากนั้นทำการเปิดก้อนเชื้อเห็ดโดยการแกะกระดาษและเศษวัสดุต่างๆที่หุ้มไว้ตรงจุกก้อนออก แล้วนำก้อนเห็ดมาวางเรียงซ้อนกันขึ้นไปเป็นชั้นๆ โดยหันจุกก้อนเห็ดออกมานอกบ่อ
  • ทำการรดน้ำ โดยวิธีรดน้ำนั้นให้รดลงไปบนก้อนเชื้อเห็ด ระมัดระวังอย่าให้เข้าไปในก้อนเชื้เด็ดขาดอ จากนั้นใช้ผ้าคลุมแล้วรดน้ำใส่ผ้าอีกครั้งนึง เพื่อรักษาความชื้นในบ่อเพาะ
  • รดน้ำวันละ 3 เวลา ทุกๆ เช้า กลางวัน เย็น ประมาณ 7 วัน ตุ่มดอกเห็ดจะเริ่มงอกออกมาแล้วค่ะ

ส่วนราคาขาเห็ดนางฟ้าภูฎานอยู่ที่กิโลกรัมละ 100 – 120 บาท

2.เพาะถั่วงอกในขวด

ใช้ต้นทุน 490 บาท

สิ่งที่ต้องเตรียม

  • ขวดน้ำพลาสติกเหลือใช้
  • ถั่วเขียว 1 กิโลกรัม 35 บาท ( 14 กิโลกรัม = 490 บาท )

วิธีทำ

  1. ขั้นตอนแรกทำการแช่เมล็ดถั่วเขียวในน้ำอุ่น 1 คืน ( น้ำอุ่นจะช่วยกระตุ้นให้เมล็ดงอกได้เร็วขึ้น )
  2. จากนั้นนำขวดพลาสติกมาเจาะรูด้านข้างของขวด เพื่อทำไว้เป็นรูสำหรับระบายน้ำ
  3. นำถั่วเขียวที่แช่น้ำอุ่นเรียบร้อยแล้วมาใส่ในขวดพลาสติกที่เจาะรูแล้ว นำผ้าสะอาดห่อขวดไว้เพื่อรักษาความชื้นและป้องกันแสงส่องถึง(ถ้ามีแสงส่องถั่วงอกจะเป็นสีเขียวและจะมีใบงอกออกมา)
  4. ทำการรดน้ำถั่วงอก เช้า-เย็น ทุกๆวัน เมื่อเวลาผ่านไป 3 วัน ก็สามารถเก็บขายได้ ถั่วเขียว 1 กิโลกรัม เมื่อนำมาทำการเพาะจะได้ถั่วงอกประมาณ 7 กิโลกรัม

ส่วนราคาขายอยู่ที่ กิโลกรัมละ 10 บาท นั่นคือ ถั่วเขียว 1 กิโลกรัม จะได้กำไร 35 บาท

3.เพาะสาระแหน่ในตะกร้า

ใช้ต้นทุน 420 บาท

สิ่งที่ต้องเตรียม

  • สาระแหน่จากตลาดประมาณ 2 กรัม 20 บาท
  • ถาดรอง 20 บาท
  • ตะกร้าพลาสติก 20 บาท
  • หินเพอร์ไลท์ + ถาดหลุม 160 บาท ( สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์ปลูกผักไฮโดรโปรนิกส์ )
  • ปุ๋ยน้ำ 200 บาท

วิธีทำ

  1. เริ่มจากทำการเลือกยอดอ่อนของสาระแหน่ ต้องเลือกยอดที่ดูแล้วสมบูรณ์ แข็งแรง ใบไม่หลุด ไม่มีรอยใบไหม้ จะทำให้ง่ายต่อการเพาะเพื่อให้ได้ผลผลิตดี
  2. ต่อมาทำการริดใบด้านล่างออกให้เหลือเพียงใบเลี้ยงไว้ที่ปลายยอด 2-3 ใบ
  3. นำยอดสาระแหน่ที่ตัดแต่งเตรียไว้มาปักลงในถาดหินเพอร์ไลท์ โดยขั้นตอนนี้ต้องระมัดระวังไม่เกิดความเสียหายแก่ยอด
  4. จากนั้นนำถาดหินเพอร์ไลท์ไปใส่ลงในตะกร้า แล้วนำถาดรองก้นตะกร้าอีกทีเพื่อรองน้ำ รักาาระดับน้ำให้อยู่ประมาณฐานตะกร้าตลอดเวลา ควรผสมปุ๋ยน้ำเสริมไประหว่างเพาะจะช่วยเร่งการเจริญเติบโตของสาระแหน่(อัตราการใส่ปุ๋ยสามารถดูได้ข้างขวด)
  5. เมื่อครบ 1 เดือน จะเริ่มแตกยอดออกใบ พร้อมให้เก็บเกี่ยวได้เลย และยังสามารถนำยอดอ่อนใหม่มาขยายเพาะซ้ำได้เรื่อยๆอีกด้วยค่ะ

4.เพาะเห็ดฟางในตะกร้า

ใช้ต้นทุน 150–300 บาท

สิ่งที่ต้องเตรียม

  • ตะกร้าทรงกลมสูง 5 ใบ ราคาใบละ 20 บาท=100 บาท
  • ก้อนเชื้อเห็ดฟาง50 บาท
  • ถุงดำ 50 บาท
  • ฟางข้าว+ขี้เลื่อย
  • ชั้นวางเก่าๆเหลือใช้

วิธีทำ

  1. เริ่มจากการนำฟางข้าวแช่น้ำไว้ 1 คืน จากนั้นนำมาผึ่งให้แห้ง
  2. นำใส่ฟางลงไปที่ก้นตะกร้า ตามด้วยขี้เลื่อย แล้วค่อยๆโรยเชื้อเห็ดฟางตามลงไป
  3. ทำซ้ำแบบข้อ 2 เป็นชั้นๆจนเต็มตะกร้า โดยเน้นโรยขี้เลื่อยและเชื้อเห็ดให้เยอะในชั้นบนสุด เพื่อให้ออกดอกเต็มที่
  4. ขั้นสุดท้ายให้ครอบด้วยถุงพลาสติกดำ เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 4-5 วัน จะเริ่มมีละอองน้ำเกาะในถุงพลาสติกอยู่แต่ถ้าไม่มีให้รดน้ำเพิ่มตามเข้าไป
  5. เมื่อเวลาผ่านไป 12 วัน เห็ดดอกเล็กๆจะเริ่มออกดอก แล้วนับต่อไปอีก 5 ค่อยทำการเก็บดอก จะได้เห็ดประมาณ 2 กิโลกรัมต่อ 1 ตะกร้าค่ะ

ข้อควรระวัง ช่วงวันที่ 4 ถึงวันที่ 9 ห้ามเปิดถุงเด็ดขาดเพราะจำให้เชื้อหยุดการเจริญเติบโต

อาชีพที่ลงลุนน้อยมีหลากหลายอาชีพให้ทุกท่านเลือทกทำตามความถนัดและความเหมาะสม อยู่ที่ว่าท่านใดจะกล้าลงมือและเริ่มทำมันค่ะ

ข้อมูลจาก : liekr.com

สร้างอาชีพกับ 4 อาชีพเกษตร ทุนเริ่มต้นน้อย Read More »

“หลุมพอเพียง” ปลูกทุกอย่างในหลุมเดียว ลดภาระการรดน้ำ ปลูกซ้ำ

หลุมพอเพียง คือ การปลูกพืชหลายอย่างในหลุมเดียว หลุมที่ว่านี้ไม่ได้สภาพเป็นหลุมลึก ๆ แต่เป็นการปลูกพืชเป็นกลุ่ม ขนาดที่น่าลองทำคือ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 เมตร แต่สำหรับคนที่มีพื้นที่ว่าง เพื่อเตรียมปลูกพืช อาจจะทำหลายๆหลุม ขนาดที่กำลังพอแรง คือขนาดกว้าง 80 – 100 เซนติเมตร จะทำวงกลมหรือสี่เหลี่ยมก็ได้ ระยะห่างระหว่างหลุม 4 x4 เมตร ถ้ามีพื้นที่ 1 ไร่ จะได้ 100 หลุม หรือถ้าไม่มีที่เป็นผืนก็สร้างหลุมไว้ตามหัวไร่ปลายนา มุมบ้าน หลังครัว ขอบบ่อน้ำ ริมทางเดิน ได้หมด

หลุมพอเพียง เป็นวิธีการบริหารจัดการสิ่งที่อยู่ในหลุม เริ่มจากเตรียมพื้นที่ตามขนาดที่กำหนด แล้วก็ปลูกหญ้าแฝกเป็นรูปวงกลมหรือเป็นล็อกสี่เหลี่ยม จากนั้นปลูกไม้ในหลุมนี้ ลงได้ถึง 4 – 5 ประเภทในหลุมเดียว เพื่อลดภาระการรดน้ำ ปลูกซ้ำ และเกื้อต่อการกำจัดศัตรูพืชเพราะให้ทุกอย่างเกื้อกูลกันเอง

ต้นไม้ที่จะปลูกในหลุมแบ่งเป็น 5 ประเภท

1. ไม้บำนาญ เป็นไม้ผลยืนต้น ใช้เวลาปลูก 2 – 4 ปี แต่เมื่อให้ผลผลิตแล้ว เก็บกิน เก็บขายได้เรื่อย ๆ เช่น ขนุน มะม่วง มะนาว กระท้อน เงาะ ทุเรียน มังคุด ยางพารา เป็นต้น ในหลุมหนึ่งควรเลือกปลูกแค่ประเภทเดียว

2. ไม้มรดก เป็นกลุ่มไม้ใช้สอยที่อายุยืน ใช้เวลาปลูกนาน เก็บไว้เป็นมรดกให้ลูกหลาน ตัดขาย ก็ได้เงินก้อนใหญ่หรือจะเอาไว้ใช้ซ่อมแซมบ้านก็ได้ เช่น ประดู่ สักทอง ยางนา สะเดา พะยูง ชิงชัน ไม้พวกนี้เป็นไม้ใหญ่ ปลูกฝั่งตรงข้ามกับต้นกล้วย

พะยูง

พื้นที่ใต้ร่มเงาหรือบริเวณหลุมที่มีการเตรียมดินใส่ปุ๋ยปรับปรุงดินรดน้ำและดูแล ยังสามารถใช้ประโยชน์ได้อีกมาก แทนทีจะปล่อยให้วัชพืชขึ้นเป็นภาระที่ต้องคอยกำจัด การปลูกพืชบางอย่างที่มีกลิ่นเฉพาะ ช่วยไล่แมลงศัตรูพืช นอกจากนั้นยังเป็นกุศโลบายที่ทำให้พืชหลักที่ต้องการปลูก เช่น ไม้ผล ไม้ยืนต้น ไม้ป่ายืนต้น เจริญเติบโตและมีโอกาสรอดสูง เพราะผู้ปลูกจะคอยห่วงใย หมั่นดูแล ทำให้พืชหลัก ดังกล่าวเจริญเติบโตดีกว่าปกติอีกด้วย

และหากพืชชนิดใด ชนิดหนึ่งจะเบียดเบียนพืชอื่นมากเกินไปก็คอยควบคุมให้เหมาะสม ตัดแต่งทรงพุ่ม จัดพืชหรือเถาเลื้อยให้เหมาะสม สำหรับพืชพี่เลี้ยงก็ไม่ต้องมาก ในหนึ่งหลุมปลูกกล้วยเพียง 1-2 ต้น เท่านั้น คือ ต้นที่กำลังให้เครือ อีกหนึ่งต้นสำรองไว้สำหรับเครือต่อไปนอกนั้นให้ขุดหน่อไปขายหรือไปปลูกที่อื่น

การปลูกหญ้าแฝกล้อมต้นไม้หลักไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบหลุมพอเพียงหรือไม้เดี่ยวรากหญ้าแฝกจะเป็นร่างแหในแนวดิ่งช่วยยึดดินให้คงรูปเปรียบเสมือนกระถางธรรมชาติ เพราะปมรากแฝกจะ ช่วยเพิ่มธาตุอาหารในดิน ช่วยดูดซับน้ำในดินไว้ แทนที่จะซึมหายลงใต้ดินอย่างรวดเร็ว กอแฝกที่เบียดชิดช่วยดักตะกอนดินซึ่งรวมปุ๋ยที่ใส่ และ ใบแฝกที่ตัดมาคลุมดินยังช่วยรักษาดินให้ชุ่มชื้นในที่สุดก็ย่อย

3. ไม้พี่เลี้ยง เป็นไม้ที่ให้ร่มเงา เก็บน้ำ เก็บความชื้นโดยเฉพาะช่วงร้อนหรือหน้าแล้ง เช่น กล้วยน้ำว้า กล้วยหอม ควรปลูกทางทิศตะวันตก เพราะช่วยบังแสงช่วงบ่ายที่อากาศร้อนจัด เป็นพี่เลี้ยงให้พืชที่ไม่ชอบแดดจัดมาก ได้กล้วยเครือแรกเมื่อปลูก 1 ปี ก็ตัดทิ้ง ปล่อยหน่อใหม่ให้ทำงาน

4. ไม้ฉลาด เป็นไม้ข้ามปี ที่สามารถเอาตัวรอดได้ดี เก็บผลได้นานพอสมควร เช่น ชะอม ผักหวาน มะละกอ ผักติ้ว ผักเม็ก เริ่มเก็บกินได้ตั้งแต่ 1 เดือนไปเรื่อยๆ

5. ไม้ปัญญาอ่อน หรือ ไม้รายวัน เป็นไม้ล้มลุกปลูกง่าย ตายเร็ว ต้องคอยปลูกใหม่ ดูแลรดน้ำทุกวัน แต่เก็บผลได้เร็ว ได้ทุกวัน เช่น พริก มะเขือ กะเพรา โหระพา ตะไคร้ ข่า ฟักทอง แตงไทย แตงกวา ผักบุ้งจีน คะน้า เป็นต้น เริ่มเก็บกินได้ตั้งแต่ 15 วัน

โหระพา

“หลุมพอเพียง” ปลูกทุกอย่างในหลุมเดียว ลดภาระการรดน้ำ ปลูกซ้ำ Read More »