Windows 10

วิธีลง Windows 11 เวอร์ชั่นล่าสุด ติดตั้งเองผ่าน USB Flash Drive

วิธีลง Windows 11 เวอร์ชั่นล่าสุด ทั้งดาวน์โหลดจากเว็บ Microsoft โดยตรง และติดตั้งเองผ่าน USB Flash Drive

หลังจากที่ Microsoft ได้ทำการปล่อย Windows 11 ตัว Official ออกมาเป็นที่เรียบร้อยเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2021 ที่ผ่านมา ทำให้ผู้ใช้งานทั่วโลกสามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้ฟรี ผ่าน Windows 10 เดิม หรือนำไฟล์ที่ดาวน์โหลดจากเว็บ Microsoft

โดยตรงไปติดตั้งใช้งานกันเองก็ได้ ซึ่งสามารถลงได้ทั้งในแบบเวอร์ชันใช้งานฟรี (แบบเดียวกับ Windows 10) หรือติดตั้งก่อนเพื่อนำ CD-Key แท้มา Activate ทีหลังก็ทำได้เช่นกันครับ

วิธีลง/อัปเกรดเป็น WINDOWS 11 หลัก ๆ มีทั้งหมด 4 แบบคือ

  • อัปเกรดจาก Windows 10 ผ่าน Windows Update
  • อัปเกรดจาก Windows 10 ผ่านโปรแกรม Windows 11 Installation Assistant
  • ลงและติดตั้งใหม่ผ่าน USB แฟลชไดรฟ์
  • ลงและติดตั้งใหม่หรืออัปเกรดโดยใช้ไฟล์ ISO

วิธีที่ 1 : อัปเกรดจาก WINDOWS 10 ผ่าน WINDOWS UPDATE

สำหรับคอมใครที่เป็น Windows 10 อยู่แล้ว และเครื่องผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำตามที่ Microsoft กำหนด สามารถเข้าไปกดอัปเดตเป็น Windows 11 ได้เลยทันทีผ่านหน้า Windows Update ที่อยู่ในการตั้งค่าของเครื่อง โดยขั้นตอนจะมีดังนี้นะครับ

  • เข้าไปที่ All Settings โดยพิมพ์ที่ช่องค้นหาหรือเข้าผ่านหน้าจอการแจ้งเตือนด้านล่างขวาก็ได้

  • กดที่ Update & Security

  • สำหรับเครื่องที่รองรับและพร้อมดาวน์โหลดแล้ว จะมีหน้าต่างแบบนี้ขึ้นมา สามารถกด Download and install ได้เลยครับ

  • สำหรับเครื่องที่รองรับแต่ยังไม่ขึ้น ซึ่งจะขึ้นเป็นหน้าด้านล่างนี้แทน หมายถึงต้องรอให้ทาง Microsoft ทยอยปล่อยอัปเดตเพิ่มเติมให้ก่อน ถึงจะอัปเกรดได้ตามปกติครับ

วิธีที่ 2 : อัปเกรดจาก WINDOWS 10 ผ่านโปรแกรม INSTALLATION ASSISTANT

วิธีนี้เหมาะสำหรับคนไม่อยากรอ เนื่องจากบางเครื่อง Microsoft ยังไม่ปล่อยตัวอัปเกรดให้บนหน้า Windows Updates สามารถไปใช้เครื่องมืออัปเกรดแทน ซึ่งอัปได้เลยทันที โดยโหลดผ่านหน้าเว็บ Microsoft โดยตรงเลยครับ

  • แล้วกดที่ Download Now ในหมวด Windows 11 Installation Assistant จะได้ไฟล์ชื่อ Windows11InstallationAssistant.exe ขึ้นมา จากนั้นเปิดไฟล์เพื่อทำการติดตั้ง

 

  • กด Accept and Install

  • รอโปรแกรมดาวน์โหลดจนครบทั้ง 3 Step ในระหว่างที่รอแนะนำให้เซฟงานต่าง ๆ ที่ยังทำค้างอยู่ไว้ก่อนนะครับ

  • สุดท้ายหากต้องการอัปเกรดทันทีให้กด Restart Now หรือหากต้องการอัปทีหลัง ให้กดเป็น Restart Later ก่อนได้ ซึ่งหากไม่กดภายใน 30 นาที โปรแกรมจะ Restart และอัปเกรดเป็น Windows 11 ให้ทันทีครับ

วิธีที่ 3 : ลงและติดตั้งใหม่ผ่าน USB แฟลชไดรฟ์

สำหรับวิธีการลงผ่าน USB Flash Drive คือวิธีที่ค่อนข้างแนะนำหากต้องการลง Windows 11 ใหม่ทั้งเครื่อง เพราะมีข้อดีกว่าการอัปเกรดจาก Windows 10 ตรงที่ไฟล์ขยะหรือ Cache ต่าง ๆ ที่เคยสะสมไว้จาก Windows เดิมจะไม่ตามมาด้วย ซึ่งจะช่วยให้ได้พื้นที่ที่เสียเปล่าบางส่วนกลับมาอีกหลาย GB เลยทีเดียว

แต่หากใครยังต้องการไฟล์เดิมอยู่ แนะนำให้ Backup ข้อมูลทั้งเครื่องเก็บไว้ที่อื่นก่อนนะครับ เพราะข้อมูลในไดรฟ์ที่ลงจะโดนล้างไปด้วยทั้งหมด ดังนั้นมาดูขั้นตอนการลงผ่านแฟลชไดรฟ์แบบ Clean Install นี้ว่าทำยังไงบ้าง

สิ่งที่ต้องใช้
  • แฟลชไดรฟ์เปล่าขนาดอย่างน้อย 8GB (แนะนำเป็นแบบ USB 3.0)
  • คอม หรือ โน้ตบุ๊ค
  • บัญชี Microsoft (Outlook หรือ Hotmail)
  • อินเทอร์เน็ต (เนื่องจาก Windows 11 จะบังคับให้ต่ออินเทอร์เน็ตทุกครั้งที่ลงใหม่ ควรเตรียมเป็นสายแลนเผื่อไว้ เพราะบางเครื่องอาจไม่มีไดรเวอร์ WiFi ในตัว)
ขั้นตอนติดตั้งตัวลง WINDOWS 11 ลง USB FLASH DRIVE

  • แล้วกดที่ Download Now ในหมวด Create Windows 11 Installation Media จะได้ไฟล์ MediaCreationW11.exe มา แล้วเปิดไฟล์เพื่อทำการติดตั้ง

  • ต่อมากด Accept แล้วกด Next ในหน้านี้แนะนำให้กดติ๊กเลือก Use the recommended… จากนั้นกด Next อีกครั้ง

  • กดเลือกเมนู USB flash drive แล้วกด Next
  • จากนั้นดูว่าชื่อแฟลชไดรฟ์ที่ขึ้นใช่อันที่เสียบไว้ตอนแรกหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ให้เลือกเป็นไดรฟ์ที่มีชื่อ USB ที่จะใช้ลง แล้วกด Next เพื่อติดตั้ง
  • รอจน Progress จนเสร็จ (ใช้เวลาค่อนข้างนาน ขึ้นอยู่กับความเร็วเน็ตและแฟลชไดรฟ์ของเราด้วยครับ)
  • กด Finish เป็นอันเสร็จ เพียงเท่านี้เราก็ได้จะแฟลชไดรฟ์ที่เป็นตัวติดตั้ง Windows 11 เรียบร้อยแล้วครับ

ขั้นตอนการติดตั้ง WINDOWS 11 บนคอมจาก USB FLASH DRIVE

  • เสียบแฟลชไดรฟ์เข้าสู่คอมหรือโน้ตบุ๊คที่ต้องการจะลง

  • จากนั้นกด ปิด-เปิด เครื่องใหม่ หรือรีสตาร์ท แล้วกดเข้า Boot Option หรือเข้าหน้า Bios แล้วเซ็ตให้บูทผ่านแฟลชไดรฟ์
    – Boot Option แต่ละเครื่องกดไม่เหมือนกัน (กด F8, F9, F10,F11 หรือ F12)
    – Bios แต่ละเครื่องกดไม่เหมือนกัน (กด F2, F10, Delete หรือ ESC)

  • พอบูทผ่านแฟลชไดรฟ์ได้แล้วก็จะเข้าสู่หน้าติดตั้ง ในหน้าแรกแนะนำให้ติดตั้งเป็นภาษาอังกฤษ เลือก Time and currency format เป็น Thai (Thailand) แล้วกด Next จากนั้นก็กด Install Now
  • ติ๊ก I accepted the Microsoft Software License Terms จากนั้นกด Next (กรณีขึ้นหน้าให้ใส่คีย์ถ้ามีคีย์ก็ใส่ตรงนี้ได้เลย หรือหากไม่มีก็กด I don’t have a product key)

  • ถัดมาเลือก Custom: Install Windows only (advanced)

  • พอมาถึงหน้านี้ให้เลือกไดรฟ์ที่เราต้องการจะลง Windows  (หากมีหลายอันให้หาอันที่มีความจุเยอะ ๆ ตามขนาดของพื้นที่ไดรฟ์ที่เราจะลง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไดรฟ์ C ที่มี 100GB ขึ้นไป) จากนั้นกด Format ไดรฟ์ให้เรียบร้อยก่อน กดเลือก แล้วค่อยกด Next
  • ตัวเครื่องก็ทำการติดตั้ง ซึ่งขั้นตอนนี้จะใช้เวลานานสักพัก
  • หลังจากติดตั้งเสร็จแล้ว ก็สามารถถอดแฟลชไดรฟ์ออกได้เลย แล้วเครื่องจะรีสตาร์ทให้อัตโนมัติเพื่อไปที่หน้า Boot Windows 11 ใหม่ที่เราเพิ่งลงเสร็จไป

  • พอขึ้นหน้านี้แล้วหลังจากทำการ Boot ใหม่ก็แสดงว่าคอมเครื่องนี้ลง Windows 11 ได้เรียบร้อยสมบูรณ์แล้วครับ ที่เหลือจะเป็นการตั้งค่า Set Up ต่าง ๆ ครั้งแรกเพื่อให้ใช้งานได้ต่อไป ในหน้า country or region นี้ให้เลือกเป็น Thailand แล้วกด Yes

  • ให้กดเลือกแป้นพิมพ์เป็น US แล้วกด Yes

  • เลือกเพิ่มแป้นพิมพ์ที่ 2 โดยกดที่ Add Layout

  • จะมีหน้าให้เลือกแป้นอีกครั้ง เลือก Thai (Thailand) กด Next แล้วเลือกเป็น Thai Kedmanee จากนั้นกด Add Layout

  • เครื่องที่ลง Windows 11 จะโดนบังคับให้ต่อเน็ตทุกครั้งที่ลงใหม่ (บางเครื่องหากไม่มีไดรเวอร์ WiFi ในตัว จำเป็นต้องหาเน็ตสายแลนไว้เผื่อด้วยนะครับ) จากนั้นกด Next

  • เครื่องจะให้ตั้งชื่อคอม ให้กรอกชื่อตามที่เราต้องการ แล้วกด Next (หรือหากอยากตั้งทีหลัง ให้กด Skip for now) เครื่องจะรีสตาร์ทใหม่ 1 รอบ

  • Windows 11 จะบังคับให้เราต้องล็อกอินด้วยบัญชี Microsoft ด้วยทุกครั้งที่ลงใหม่ โดยใช้เป็น Outlook หรือ Hotmail ก็ได้ จากนั้นกด Next

  • แล้วก็บังคับให้ตั้งค่า PIN ไว้ด้วย อย่างน้อย 4 หลัก จากนั้นกด OK
  • หน้า Choose privacy… ให้เลือก Next และ Accept
  • หน้า Let’s customize… จะเลือกเองตามใจชอบก็ได้ หรือแนะนำให้กด Skip ไปก่อน

  • หน้า Back up OneDrive แนะนำให้เลือก Don’t backup my files ไปก่อน จากนั้นกด Next
  • หน้า Microsoft 365 แนะนำให้กด No, Thanks

  • สุดท้ายพอเสร็จสิ้นทุกขั้นตอนแล้ว เครื่องก็จะเข้าสู่หน้า Desktop

  • แนะนำให้เข้าไปที่ Start -> Settings -> Windows Update เพื่อเข้าไปอัปเดตไดรเวอร์ของเครื่อง โดยกดที่ Download now และรอโหลดติดตั้งให้เรียบร้อย เป็นอันใช้งาน Windows 11 ได้แล้วครับ

วิธีที่ 4 : ลงและติดตั้งใหม่หรืออัปเกรดโดยใช้ไฟล์ ISO

สำหรับวิธีสุดท้ายจะคล้าย ๆ กับวิธีที่ 3 คือเป็นการตั้ง Boot ไฟล์ติดตั้ง Windows 11 ผ่าน USB แฟลชไดรฟ์ ซึ่งวิธีที่ 3 จำเป็นต้องดาวน์โหลดและติดตั้งผ่านแฟลชไดรฟ์ทันที แต่หากใช้ไฟล์ ISO จะเป็นการดาวน์โหลดไฟล์เต็มที่ใช้ติดตั้งลงมาก่อน แล้วสามารถเอามาลงใน USB แฟลชไดรฟ์เองทีหลังได้ ซึ่งจะสะดวกกว่าสำหรับคนที่ต้องการตั้งค่า Boot แบบออฟไลน์ (แต่ขั้นตอนระหว่างลงก็ยังต้องใช้เน็ตอยู่ดีนะ) ดังนั้นในวิธีนี้ก็จะมาแนะนำการตั้งค่าตัว Boot Windows 11 บนแฟลชไดรฟ์ผ่านไฟล์ ISO โดยใช้โปรแกรม Rufus กันครับ

สิ่งที่ต้องใช้

  • แฟลชไดรฟ์เปล่าขนาดอย่างน้อย 8GB (แนะนำเป็นแบบ USB 3.0)
  • คอม หรือ โน้ตบุ๊ค
  • อินเทอร์เน็ต
  • โปรแกรม Rufus

ขั้นตอนการเตรียมและติดตั้ง

  • แล้วกดที่ Download Now ในหมวด Download Windows 11 Disk Image (ISO) เลือก Select Download เป็น Windows 11 และเลือก Select the product language แนะนำให้เป็น English จากนั้นกด Confirm และกด 64-bit Download จะได้ไฟล์ Win11_English_x64.iso ขึ้นมา ขนาดประมาณ 5.1 GB ครับ

  • ดาวน์โหลดโปรแกรม Rufus จากเว็บไซต์ : https://rufus.ie/en
  • เสียบแฟลชไดรฟ์เข้าที่ช่อง USB
  • เปิดโปรแกรมขึ้นมา (เป็นโปรแกรมเล็ก สามารถเปิดได้ทันทีโดยไม่ต้องติดตั้ง)

  • ตรวจสอบว่าในหมวด Device เป็นชื่อแฟลชไดรฟ์ที่เราจะใช้ลงหรือยัง หากยังให้เลือกเปลี่ยนเป็นตัวที่ต้องการ
  • กด SELECT เลือกหาไฟล์ ISO ที่เราดาวน์โหลดไว้ก่อนหน้านี้ กด Open เสร็จแล้วกดปุ่ม Start

  • กด OK เพื่อยืนยันว่าจะทำการล้างแฟลชไดรฟ์อันนี้เพื่อใช้สร้างตัวติดตั้ง (หากใครไม่ต้องการล้างไฟล์ในไดรฟ์ ต้อง Backup ข้อมูลไว้ที่อื่นก่อน)
  • โปรแกรมก็จะเริ่มสร้างตัว Boot Windows 11 ไว้ในแฟลชไดรฟ์ ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที ตามความเร็วของเครื่อง
  • ตัว Boot แฟลชไดรฟ์ที่สร้างเสร็จแล้วก็จะหน้าตาเหมือนกับที่สร้างโดยใช้วิธีที่ 3 เป๊ะ ๆ สามารถนำไปใช้ลง Windows 11 แบบ Clean Install ได้โดยใช้ขั้นตอนแบบเดียวกับวิธีที่ 3 ได้เลยครับ

วิธีอัปเกรดจาก WINDOWS 10 โดยใช้ไฟล์ ISO

ไฟล์ ISO ที่ดาวน์โหลดมานี้ นอกจากจะใช้สร้าง Boot บนตัวแฟลชไดรฟ์แล้ว ยังสามารถใช้อัปเกรดจาก Windows 10 เป็น Windows 11 ได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์เพิ่มได้เลยเช่นกัน โดยมีขั้นตอนที่ง่ายมาก ๆ ดังนี้ครับ

  • เปิดตัวไฟล์ ISO ที่ดาวน์โหลดขึ้นมา โดยใช้วิธีดับเบิลคลิกเพื่อเปิด หรือคลิกขวา เลือก Mount ก็ได้

  • จากนั้นไฟล์ ISO จะทำการ Mount ตัวเองขึ้นไปเป็นไดรฟ์ใหม่อีกอันหนึ่ง เสมือนการจำลองตัวเองเป็น DVD Drive ให้เข้าไปที่ไดรฟ์ดังกล่าว สามารถกดเปิดไฟล์ข้างในที่ชื่อ setup.exe เพื่ออัปเกรดเป็น Windows 11 ได้จากหน้านี้เลย

  • จะมีหน้าต่างขึ้นมา ให้กด Next และกด Accept จากนั้นรอให้โปรแกรมตรวจสอบเครื่องของเราสักครู่

  • ตัวโปรแกรมจะเลือกค่า Default ในการอัปเกรดเป็น Windows 11 ให้ตามรุ่นเดียวกับ Windows 10 ที่ลงไว้ (เช่น รุ่น Home ก็จะเลือกอัปเป็น Windows 11 Home) และจะเลือกเก็บไฟล์และโปรแกรมทุกอย่างให้เหมือนเดิม แต่หากต้องการตั้งค่าการเก็บไฟล์เป็นแบบอื่น สามารถเลือก Change what to keep เพื่อเลือกเก็บเฉพาะบางส่วนหรือไม่เก็บเลยก็ได้ เสร็จแล้วกด Install เป็นการเริ่มอัปเกรด ซึ่งจะใช้เวลาราว 20-30 นาที ขึ้นอยู่กับความเร็วของเครื่องครับ

เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับวิธีการลง Windows 11 บอกเลยว่ารอบนี้ตั้งใจทำมาละเอียดมาก ๆ เพื่อให้ทุกคนสามารถลองนำไปทำตามกันเองที่บ้านได้ง่าย ๆ สำหรับคนที่ใช้ Windows 10 คีย์แท้หรือมีคีย์มากับเครื่องอยู่แล้ว ก็สามารถใช้งาน Windows 11 ได้ต่อกันแบบยาว ๆ แต่หากใครใช้วิธีผ่านแฟลชไดรฟ์บนเครื่องเปล่าที่ยังไม่มีคีย์แท้ ก็สามารถใช้งานได้ฟรีเช่นกัน เพียงแต่จะโดนจำกัดฟังก์ชันการทำงานบางอย่างออกไปบ้าง

และหากเราต้องการใช้งานเวอร์ชันเต็มทีหลัง ต้องรอทาง Microsoft ออกตัว Official License แบบกล่องหรือ CD-Key มาวางขายก่อน เพื่อนำมา Activate และใช้งานเต็มรูปแบบจากตัวเดิมได้ทันที ซึ่งราคาจากตัวแทนจำหน่ายน่าจะอยู่ราว ๆ 3,000 บาท แบบเดียวกับ Windows 10 ยังไงแล้วก็แนะนำให้สนับสนุนของแท้กันเยอะ ๆ ด้วยนะครับ

 

ที่มา-droidsans

วิธีลง Windows 11 เวอร์ชั่นล่าสุด ติดตั้งเองผ่าน USB Flash Drive Read More »

5 วิธี แก้คอมช้า Windows 10 เพิ่มความเร็ว จัดการปัญหาเครื่องหน่วง

ใครที่ใช้งาน Windows 10 ไปนานสักระยะแล้วเกิดอาการคอมช้า เครื่องหน่วง โดยเฉพาะกับคนที่ใช้คอมพิวเตอร์รุ่นเก่าที่ได้อัพเกรดมาใช้งาน Windows 10 ก็มักจะเกิดอาการเช่นนี้ และวันนี้ จะนำวิธีดี ๆ ในการแก้ปัญหาคอมช้า เพิ่มความเร็วให้กับคอมพิวเตอร์ที่ใช้งาน Windows 10 ทั้งทำได้ฟรี จะมีอะไรบ้างนั้นมาดูกันเลย

จัดการคอมช้า: ปิดค่าความโปร่งใสของ Menu

สำหรับความโปร่งใสของ Menu นั้น ใน Windows 10 นั้นจะมีลูกเล่นที่จะทำให้หน้าตาของเมนูดูสวยงามและน่าใช้งาน โดยเมื่อเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ ในแถบของเมนูจะมีความโปร่งใสขึ้น ดูกลืนไปกับพื้นหลัง แต่การเปิดใช้งานความโปร่งแสงนี้ก็ทำให้มีการใช้งานทรัพยากรเบื้องหลังของระบบอยู่เช่นกัน ซึ่งในคอมพิวเตอร์ที่มีกราฟฟิกต่ำ หรือทรัพยากรเครื่องที่จำกัดก็อาจจะส่งผลให้ระบบทำงานหนักขึ้น และทำให้คอมช้าลงได้เช่นกัน

วิธีปิดค่าความโปร่งแสงของ Menu สามารถทำได้ง่าย ๆ ดังนี้

เริ่มต้นให้ไปที่ Settings >> เลือก Personalization

จากนั้นไปที่ Colors >> กดปิด Transparency Effect

เพียงเท่านี้ก็ปิดความโปร่งใสของ Menu เรียบร้อยแล้ว ช่วงให้คอมทำงานหนักน้อยลง ไวและลื่นขึ้น

ปิด Animations จัดการปัญหาเครื่องหน่วง

Windows 10 ในปัจจุบันนั้นจะมีการเพิ่มลูกเล่นด้านกราฟฟิกขึ้นมาเพื่อให้ Windows 10 นั้นดูทันสมัยและน่าใช้มากยิ่งขึ้น แต่กระนั้นในคอมพิวเตอร์รุ่นเก่า ๆ หรือ Notebook สำหรับการใช้ทำงานเป็นหลักนั้นก็อาจจะมีการประมวลผลด้านกราฟฟิกที่ต่ำ ก็จะทำให้ Windows ของเราดูหน่วง เพราะส่วนหนึ่งใช้ไปกับการประมวลด้านกราฟฟิกของตัว Windows เองการปิด Animations (Animations จะส่งผลเกี่ยวกับการเปิด-ปิดหน้าต่างโปรแกรมต่าง ๆ ขึ้นมา หรือเวลาขยาย-ลดหน้าต่างลงไปไว้ที่ Taskbar โดยฟีเจอร์นี้จะทำให้การกระทำเหล่านี้ใน Windows มีความนุ่มนวล ดูสบายตามากขึ้น แต่ก็กินทรัพยากรของเครื่องเช่นกัน) ที่จะทำให้ Notebook หรือคอมพิวเตอร์ของเราเร็วและลื่นขึ้น

เข้าไปที่ Windows Settings >> เลือก Ease of Access

เลื่อนลงมาที่ส่วนของ Simplify and Personalize Windows >> กดปิด Show Animations in Windows

เพียงเท่านี้ก็ปิดฟีเจอร์ Animations ใน Windows 10 ได้เรียบร้อยแล้ว ทีนี้การเรียกโปรแกรมขึ้นมาก็จะไม่มีเอฟเฟ็กที่ที่จะมากินทรัพยากรในเครื่องเราแล้ว ทำให้การเปิด-ปิด, ย่อ-ขยาย โปรแกรมทำได้รวดเร็วขึ้น ส่งผลให้ Windows ของเราทำงานได้เร็วและลื่นขึ้นนั่นเอง

การปิด Special Effects

นอกจากความโปร่งใสของเมนูแล้ว Windows 10 ยังมีเอฟเฟคและลูกเล่นอื่น ๆ ที่เข้ามาทำให้ตัววินโดวส์นั้นน่าใช้งานอีกเพียบ โดย Effects เหล่านี้จะทำให้การเปิด-ปิด, ย่อ-ขยาย หน้าต่างของโปรแกรมต่าง ๆ ทำได้สมูทและลื่นไหลมากขึ้น แต่กระนั้นการเปิดเอฟเฟคเหล่านี้ก็กินทรัพยากรของเครื่องอยู่เช่นกัน

สำหรับวิธีการปิด Special Effects ใน Windows 10 ทำได้ดังนี้

คลิกขวาที่ This PC >> เลือก Properties >> จากนั้นเลือก Advanced System Settings หรือจะพิมพ์ข้อความ ‘Advanced System Settings’ ในช่อง Search ของ Windows ก็ได้เช่นกัน

จากนั้นจะปรากฏหน้าต่าง System Properties ขึ้นมา >> เลือก Advanced ที่แถบเมนู >> จากนั้นดูในช่อง Performance >> เลือก Settings

ในหน้า Performance Options >> คลิก Visual Effect >> จากนั้นดูในช่อง Effects ต่าง ๆ ให้เราเอาเครื่องหมายถูกออกจาก Effects ต่าง ๆ (หรือะเลือกปิดเฉพาะบางเอฟเฟคก็ได้ตามต้องการ)

เพียงเท่านี้เราก็จะปิด Special Effects ช่วยให้ระบบไม่ต้องคอยใช้ทรัพยากรไปกับเอฟเฟคต่าง ๆ ที่เพียงทำให้ดูสวยงามสบายตาและดูสมูทเท่านั้น ซึ่งการปิดเอฟเฟคก็อาจจะทำให้การเปิด-ปิดโปรแกรม, ย่อ-ขยายหน้าต่างโปรแกรมดูแข็งกระด้างขึ้น ไม่สมูทเหมือนเก่า แต่นั่นก็ช่วยลดการใช้ทรัพยากรเครื่องไปได้เช่นกันและไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของ Windows 10 ด้วย

ปิดการทำงานของโปรแกรมที่เปิดอัตโนมัติ

เวลาที่เราเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมานั้น เมื่อเข้าสู่หน้า Windows โดยปกติมักจะมีโปรแกรมทำงานเองโดยอัตโนมัติซึ่งก็ทำให้ระบบเริ่มทำงานและใช้ทรัพยากรไปตั้งแต่เริ่มทำงาน ส่งผลให้คอมช้า อืดและหน่วงได้ โดยเฉพาะในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีแรมต่ำ ดังนั้นการปิดโปรแกรมที่ทำงานอัติโนมัติเวลาที่เปิดคอมพิวเตอร์จึงเป็นอีกทีวิธีที่จะช่วยให้คอมพิวเตอร์ของเราทำงานได้เร็วขึ้น ไม่เสียทรัพยากรไปกับโปรแกรมเปิดอัติโนมัติที่เราอาจไม่ได้ใช้งาน

สำหรับวิธีการปิดการทำงานของโปรแกรมที่เปิดอัตโนมัติมีดังนี้

ไปที่ Task Manager ด้วยการกด Ctrl + Alt + Del หรือ พิมพ์ Task Manager ลงในช่อง Search ของ Windows

เมื่อปรากฏหน้าต่าง Task Manager >> เลือก Startup >> จากนั้นให้ คลิกขวาที่โปรแกรมที่ไม่ต้องการให้ทำงานอัตโนมัติ >> เลือก Disable

ลบ Bloatware ที่มากับ Windows

สำหรับวิธีนี้นั้นจะเป็นการลบโปรแกรมที่ติดมากับ Windows 10 เช่น เกมจาก Microsoft Store หรือแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ซึ่งหลายครั้งเราก็ไม่ได้ใช้งานพวกโปรแกรมหรือแอพฯ ที่ติดมากับ Windows แต่อย่างใด แถมยังสิ้นเปลืองพื้นที่ในคอมพิวเตอร์ของเราด้วย การลบโปรแกรมจำพวก Bloatware นี้จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้คอมพิวเตอร์ของเราทำงานได้เร็วขึ้น ไม่เปลืองทรัพยากรไปกับโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้งาน

เราสามารถเข้าไปดูแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ได้โดยไปที่ Settings >> System >> Apps & Features จากนั้นก็เลือกแอพฯ ที่ไม่ต้องการหรือไม่ได้ใช้แล้วเลือก Uninstall ได้เลย

อย่างไรก็ตามวิธีการข้างต้นเป็นเพียงการจัดการกับการใช้ทรัพยากรภายในเครื่องเท่านั้น ซึ่งหากใครที่ต้องการให้เครื่องคอมพิวเตอร์เร็วและแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดนั้น สำหรับใครที่ยังใช้ฮาร์ดดิส (HDD) อยู่ ก็อาจจะเปลี่ยนมาเป็น SSD แทนซึ่งจะทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็วและไวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และในปัจจุบันราคาของ SSD ก็ถูกลงมากแล้ว รับรองว่าคุ้มค่าที่จะเปลี่ยนแน่นอน

windows 10 ช้าแก้ยังไง แก้เครื่องหน่วง win10 เพิ่มความเร็โน้ตบุ๊ค

ข้อมูลจาก notebookspec.com

5 วิธี แก้คอมช้า Windows 10 เพิ่มความเร็ว จัดการปัญหาเครื่องหน่วง Read More »