ส่อง‘5รถยนต์ไฟฟ้า’เมืองไทย
เปิดอนาคตยานยนต์รักษ์โลก – ปี 2562 นี้
ถือว่าเป็นปีแห่งการเปิดศักราชตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเมืองไทยอย่างแท้จริง
แม้ในช่วงก่อนหน้านี้จะมีหลายค่ายนำรถยนต์ไฟฟ้ามานำเสนอให้กับนักเลงรถหัวใจสีเขียว
แต่ดูเหมือนไม่ได้รับการตอบรับสักเท่าได ด้วยเพราะราคาที่ค่อนข้างสูงอยู่พอสมควร
จวบจนกระทั่งค่ายรถยนต์สายเลือดอังกฤษ
MG ได้เปิดตัว ‘MG ZS EV’ รถยนต์ครอสโอเวอร์ไฟฟ้าในราคาสุดเร้าใจ
ช่วยสร้างกระแสรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นมาพอสมควร
เราไปตามดูกันว่ารถยนต์ไฟฟ้าเมืองไทยเพลานี้มี
รุ่นไหน ค่ายอะไรกันบ้าง
เริ่มกันที่รุ่นแรกที่เข้ามาทำตลาดอย่างเป็นทางการ
‘เกีย โซล’ ที่นำรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดกะทัดรัด มาใส่หัวใจไฟฟ้า
พร้อมปรับแต่งหน้าตา สีสันให้เข้ากันกับการเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% เปิดตัวในบ้านเราตั้งแต่ปี
2560
รูปร่างหน้าตาถือว่าน่ารักน่าชังทีเดียว
การันตีได้จากรางวัลด้านการออกแบบจากหลากหลายสถาบัน หนึ่ง ในนั้นมาจาก ‘Red dot design’ อันลือชื่อว่าใครที่ได้รางวัลนี้ถือว่าเป็นดีไซน์ที่ไม่ธรรมดา
ออกแบบเป็นสีทูโทนตัวรถสีขาว
พร้อมแต่งแต้มสีฟ้าไว้รอบคัน ทั้งหลังคา กรอบกระจกมองข้าง ในชุดไฟหน้า
ใต้สเกิร์ตหน้า-หลัง รวมถึงรอบกระจังหน้าแบบปิดทึบ
แต่สามารถเลื่อนเปิดออกเพื่อชาร์จไฟ ชุดไฟท้ายแนวตั้งโดดเด่นมองเห็นมาแต่ไกล
ภายในยังคงอารมณ์คล้าย‘เกีย
โซล’รุ่นเครื่องยนต์ปกติ โดยเฉพาะ คันเกียร์ที่เหมือนกันกับเกียร์อัตโนมัติทั่วไป
หน้าจอเครื่องเสียงควบคุมการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ
พร้อมทั้งแสดงสถานะของตัวรถ เบาะนั่งหลังสามารถพับลงเพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระ
ขุมพลังแบตเตอรี่แบบลิเทียม-ไอออน
โพลีเมอร์ ให้กำลังสูงสุด 110 แรงม้า แรงบิด 285
นิวตันเมตร ทำความเร็วได้สูงสุด 145 ก.ม./ช.ม.
มาพร้อมชุดชาร์จไฟกระแสสลับชาร์จเต็ม 100% วิ่งได้ระยะทาง 250 ก.ม.
ค่าตัวคันนี้ค่อนข้างแรงคันละ 2.297 ล้านบาท
‘ฮุนได’ อีกค่ายจากแดนกิมจิ ส่งมาให้เลือก 2 รุ่น
‘ฮุนได ไอออนิค’ เก๋งไฟฟ้า กระจังหน้าแบบทึบ
กันชนหน้าขนาดใหญ่พร้อมไฟขับขี่เวลากลางวันแนวตั้ง แม้จะเป็น รถซีดาน
แต่ด้านท้ายดีไซน์คล้ายรถแฮตช์แบ็กแบบ 5 ประตู เดิน เส้นสายสีทองแดงรอบคัน
เพื่อบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ความเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100%
ภายในออกแบบเรียบง่ายเน้นฟังก์ชั่นการใช้งาน
พวงมาลัยแบบ D-Cut ให้อารมณ์สปอร์ต และเพิ่มพื้นที่บริเวณต้นขาให้กับผู้ขับขี่ด้วย
สีทองแดง และส้มถูกนำมาตกแต่งภายใน เน้นย้ำการเป็นรถยนต์ไฟฟ้า
หน้าปัดแบบดิจิตอล หน้าจอขนาด 7 นิ้ว แสดงข้อมูลการเดินทาง
โหมดการขับขี่ และการใช้พลังงานอย่างชัดเจน
ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ที่ทำงานร่วมกับแบตเตอรี่แบบลิเทียม-ไอออน
โพลีเมอร์ ความจุ 28 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ความเร็วสูงสุด 165 ก.ม./ช.ม. อัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม.
โหมดสปอร์ต 9.9 วินาที โหมดปกติ 10.2 วินาที
ระยะทางวิ่งได้สูงสุด 280
ก.ม.
ราคาค่าตัว 1.749 ล้านบาท
อีกรุ่นของค่ายนี้ ‘ฮุนได โคนา’ ครอสโอเวอร์ ไฟฟ้า 100% ออกแบบเส้นสายภายนอกที่พลิ้วไหว
โฉบเฉี่ยวสะกดทุกสายตา มีสไตล์ด้วยไฟหน้าและไฟท้ายดีไซน์สปอร์ตแบบแยกตำแหน่ง
กระจังหน้าแบบทึบที่ช่วยเรื่องอากาศพลศาสตร์ และบ่งบอกเอกลักษณ์การเป็นรถยนต์ไฟฟ้า
ภายในตกแต่งหรูหราทันสมัย
ครบครันด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวก พร้อมเครื่องเสียงและหน้าจอสัมผัสแบบ Floating Touch Screen รองรับการเชื่อมต่อที่หลากหลาย เกียร์แบบปุ่มกด (Shift- by-wire) ทำได้อย่างง่ายดาย รวมถึงมีเบรกมือไฟฟ้าที่อยู่บริเวณเดียวกันด้วย
แบตเตอรี่ Lithium-Ion Polymer ความจุ 39.2
กิโลวัตต์-ชั่วโมง ทำงานร่วมกับ
มอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า
แรงบิดสูงสุด 395 นิวตัน-เมตร ความเร็วสูงสุด 155 ก.ม./ช.ม.
อัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. 9.7 วินาที
ระยะทางวิ่งสูงสุด 345 ก.ม.
ราคา 1,849,000 บาท
รถยนต์ไฟฟ้าที่ขายดีที่สุดในโลก ‘นิสสัน ลีฟ’ เปิดตัวกันไปตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว
และเริ่มส่งมอบให้ลูกค้าหลายรายแล้ว ดีไซน์ภายนอกโฉบเฉี่ยวสไตล์สปอร์ต
แทบไม่รู้สึกถึงความเป็นรถยนต์ไฟฟ้า
มาพร้อมความเป็นเอกลักษณ์ด้วยกระจังหน้า
V-Motion ไฟหน้าและไฟท้ายรูปทรง บูมเมอแรง
ห้องโดยสารออกแบบด้วยโทนสีดำ
ตกแต่งด้วยเส้นด้ายสีฟ้าเติมอารมณ์สปอร์ต พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน
ห้องโดยสารกว้างขวาง
เบาะนั่งด้านหลังพับเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้เพิ่มขึ้นด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่เดินเงียบ
ผนวกกับฉนวนที่ติดตั้งเพื่อดูดซับเสียงทุกจุดรอบคัน ทำให้ห้องโดยสารเงียบสนิท
เทคโนโลยีความปลอดภัยที่มีมาให้รอบคันตามมาตรฐานรถยนต์ชั้นดี
แต่ที่ภูมิใจสุดๆ เห็นจะเป็นระบบ‘e-Pedal’ ขับเคลื่อนและชะลอความเร็วด้วยแป้นคันเร่งอันเดียว
เมื่อถอน คันเร่งความเร็วของตัวรถจะชะลอลงอย่างรวดเร็ว
ไปจนถึงเกือบหยุดสนิทไม่ต่างจากการเหยียบแป้นเบรก
ช่วยให้การขับขี่สะดวกยิ่งขึ้นไม่ต้องละเท้าไปมา
เดินทางต่อเหยียบลงไป ต้องการหยุด ก็แค่ถอนเท้าออกมา
แต่ทั้งนี้ยังมีแป้นเบรกไว้ให้ใช้งานเหมือนรถยนต์ทั่วไปด้วย
แบตเตอรี่ขนาด 40 KWh ให้กำลังสูง สุด 150 แรงม้า แรงบิด 320 นิวตัน-เมตร ชาร์จไฟเต็ม 100% สามารถวิ่งได้ระยะทาง
311 ก.ม. ขับสนุกยิ่งขึ้นราวกับรถสปอร์ต ด้วยจุดศูนย์ถ่วงต่ำ
มั่นใจได้ทั้งในช่วงทำความเร็ว หรือเข้าโค้ง
ราคา 1,990,000 บาท
ปิดท้ายที่ ‘MG ZS EV’ น้องใหม่สุด ดีไซน์ภายนอกมองผาดๆ เหมือนกับ MG ZS กันแทบจะทุกกระเบียดนิ้ว
จะมีก็กระจังหน้าใหม่
ที่เป็นจุดไว้สำหรับชาร์จไฟด้วย เมื่อกดลงเบาๆ จะยกตัวขึ้นให้เห็นเต้าเสียบไฟฟ้า
กับสีใหม่ Copenhagen Blue ให้รู้ว่าเป็นรถรักษ์โลก
ภายในติดตั้งจอสีระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว
ทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART รองรับการสั่งการด้วยเสียง ภาษาไทย
เช็กระดับพลังงานคงเหลือของ
แบตเตอรี่การเช็กสถานะและแสดงระยะเวลาของการชาร์จแบตเตอรี่แบบเรียลไทม์
สามารถค้นหาสถานีอัดประจุไฟฟ้าใกล้เคียง
หรือสถานีชาร์จที่โชว์รูมทั่วประเทศ รวมทั้งการสั่งการ MG Home Charger สำหรับการชาร์จไฟที่บ้านได้ง่ายๆ ผ่านสมาร์ตโฟน
มอเตอร์ไฟฟ้า แบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ทำงานคู่กับแบตเตอรี่แบบลิเทียม-ไออน (Lithium-ion) ความจุ 44.5
kWh ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร
อัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. ในเวลา 8.2 วินาที
ชาร์จเต็มหนึ่งครั้งวิ่งได้ระยะทางสูงสุด 337 ก.ม.
ราคาถูกสุดในเซ็กเมนต์เวลานี้อยู่ที่ 1.19 ล้านบาท
ทั้ง 5 รุ่นเป็นเพียงแค่ที่เอาเข้ามาชิมลางตลาด
แต่จากนี้ไปเชื่อได้เลยว่าจะมีอีกหลายค่ายเร่งมือนำเข้ามาจำหน่าย
หรือแม้แต่ผลิตในบ้านเราเพื่อไม่ให้ตกเทรนด์ตลาดอย่างแน่นอน
ประกอบกับภาครัฐและเอกชนลงทุนทำสถานีชาร์จกระจายอยู่จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดเพื่อความสะดวกของผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า
โดยตามแผนน่าจะมีกว่า 1 พันแห่งภายใน 2 ปีนี้
ใครที่สนใจรถยนต์ไฟฟ้าลองหาโอกาสแวะเวียนไปทดลองขับกันดู
ว่าบุคลิกรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่เหมือนกับรถยนต์เครื่องยนต์ปกตินั้นเป็นอย่างไร
พร้อมทั้งถามตัวเองก่อนว่ามีความพร้อม หรือมีลักษณะการใช้รถอย่างไร
เพราะตอนนี้มีสถานีชาร์จไฟไม่มากนัก
อย่างไรก็ตามหากเน้นขับในเมืองหรือไปต่างจังหวัดไม่ไกลนัก
รถยนต์ไฟฟ้าถือว่าน่าสนใจเพราะแต่ละรุ่นสามารถขับได้เกิน 200 ก.ม.ขึ้นไปต่อการชาร์จ 1 ครั้งทั้งสิ้น
และการชาร์จไม่ได้ลำบากเนื่องจากมีสายชาร์จพร้อม อะแดปเตอร์
เสียบกับปลั๊กทั่วไปได้เลย เพียงแต่ต้องใช้เวลาชาร์จนานกว่าที่ชาร์จแบบ
‘วอลบ็อกซ์’ หรือตามสถานีบริการ
การเข้ามาเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ของหลายค่าย และมีอีกหลายค่ายที่จะตามมา ทำให้อนาคตรถยนต์ไฟฟ้าเมืองไทยสดใสอยู่พอสมควร
ข้อมูลจาก ข่าวสด